สังคมของคน
“กลัวความขัดแย้ง”
โดย
วศ.ทค.มงคล
ตันติสุขุมาล
วันนี้ผมไปรับผลการเรียนของเด็กๆ
ได้มีโอกาสพูดคุยกับครูประจำชั้น
ครูได้เล่าถึงเด็กบางกลุ่มที่ไม่ค่อยกล้าแสดงความเป็นผู้นำเนื่องจากเพื่อนในกลุ่มบางคนที่เสียงดังกว่าและกล้ากว่าแสดงความไม่เห็นด้วยหรือไม่ยอมทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
คนที่เหลือในกลุ่มก็จะพลอยไม่ทำไปด้วย ผมเรียกสภาวะแบบนี้ว่าสภาวะ “กลัวความขัดแย้ง”
เนื่องจากเด็กอาจกลัวขัดแย้งกับเพื่อนสนิทในกลุ่ม เมื่อเพื่อนไม่ทำตนจึงยอมตามเพื่อนทุกครั้งไป
เมื่อนำมาเทียบกับผู้ใหญ่
จากประสบการณ์ที่ผมทำงานมาหลายสิบปีก็พบว่า สังคมไทยโดยรวมก็เป็นเช่นนี้
คือมีสภาวะ “กลัวความขัดแย้ง”
ในทุกระดับ แม้ในวัยผู้ใหญ่ เมื่อถึงวัยทำงาน
เวลาประชุมงานผู้ที่มีอายุงานน้อยกว่าหรืออายุน้อยกว่าหรือตำแหน่งต่ำกว่า
มักไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือไอเดียใหม่ๆ เนื่องจากกลัวความขัดแย้งกับหัวหน้า
หรือ ผู้ที่อาวุโสกว่า ในขณะเดียวกันหากผู้อื่นในที่ประชุมแสดงความเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ขัดแย้งกับความเห็นหรือข้อเสนอแนะของผู้ที่เสียงดังที่สุดหรือผู้ที่มีอัตตาสูงที่สุดในกลุ่ม
ก็มักจะถูกนำไปนินทา ตำหนิ หรือ ทำให้ไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
แม้ว่าความเห็นของคนเหล่านั้นจะดีหรือมีเหตุผลเพียงใดก็ตาม เมื่อนานวันเข้า
ก็เข้าสู่สภาวะ “กลัวความขัดแย้ง” เนื่องจากไม่อยากทะเลาะกับคนอื่น ไม่อยากถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา
ไม่อยากเด่นเกินหน้าคนอื่น ไม่อยากทำให้คนอื่นเสียหน้า เป็นต้น ทำให้มักจะไม่ได้รับความคิดดีๆจากคนที่มีความรู้หรือเป็นนักคิด
นักนวัตกรรม ในการระชุมระดมสมองใดๆ ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคชุมชน หรือหากจะมีความเห็นก็พยายามพูดอวยไปในแนวทางเดียวกับหัวหน้า
ผู้อาวุโส หรือผู้ที่มีเสียงดังที่สุดในกลุ่ม โดยไม่กล้าแสดงความเห็นต่าง
ในทางกลับกัน เมื่อมีผู้เห็นแตกต่าง บรรดาหัวหน้า ผู้มีเสียงดัง หรือ
ผู้อาวุโสทั้งหลาย ก็มักจะไม่พอใจบุคคลที่เห็นต่างเหล่านั้นเพราะรู้สึก “เสียหน้า” ที่ความเห็นของตนมีคนไม่เห็นด้วยและไม่พอใจผู้เห็นต่างเป็นการส่วนตัว
เรื่องนี้เกิดขึ้นในทุกระดับ
ตั้งแต่ในครอบครัว ในโรงเรียน ในที่ทำงาน ในหมู่บ้าน ในสังคม
และในการเมืองของประเทศไทย อันส่งผลให้การพัฒนาต่างๆของกลุ่มหรือสังคมล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
เพราะเราต้องยอมรับว่า แนวคิดแนวทางดีๆ มักเกิดจากผู้ทำงานหน้างานซึ่งอาจไม่ใช่ผู้บริหาร
เกิดจากคนรุ่นใหม่ผู้มีความคิดดีๆที่แตกต่างจากผู้อื่น ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์ได้
บางท่านอาจนึกเถียงว่า
ความขัดแย้ง ทำให้เกิดความเกลียดชัง เกิดการทะเละเบาะแว้ง เกิดการประท้วงวุ่นวาย
ไม่เห็นดีเลย ทางที่ดีหลีกเลี่ยงความขัดแย้งดีกว่า เพราะ “ค่านิยม” ของการ “กลัวความขัดแย้ง” ของสังคมไทยนั้นหยั่งรากลึกในทุกระดับ ทุกกลุ่ม
จนทำให้คนที่เห็นต่างจากคนอื่นแม้เพียงเล็กน้อยก็มักถูกมองเป็นศัตรู
หรือถูกมองเป็นเรื่องเกลียดชังส่วนตัวไปหมด แม้แต่ตัวคนเห็นแย้งเองก็ไม่ยอมฟังเหตุผลที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้จากกลุ่มอื่นๆ
ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลที่ดีเพียงใดก็ตาม จนเกิดความเสียหายต่อกลุ่ม ต่อสังคม
ต่อประเทศ อย่างน่าเสียดาย
จากการวิจัยเกี่ยวกับ
“การทำงานเป็นทีมและการจัดการความขัดแย้ง”
พบว่า หากกลุ่มคนหรือสังคมใดที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในเรื่องไร้เหตุผล ไร้ศีลธรรม
ไร้จรรยาบรรณ ไม่เคารพกฎกติกา ขัดแย้งในสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัว
อันเกิดจากทัศนคติทางลบต่อผู้อื่นหรือกลุ่มอื่น ความขัดแย้งที่เกิดจากอารมณ์
ศึกแห่งศักดิ์ศรี และไร้เหตุผลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ในทางกลับกันกลุ่มคนหรือสังคมใดที่ไม่มีความขัดแย้งใดๆเลย
เข้าทำนอง “ใช่ครับพี่” “ดีครับนาย” “ยอดเยี่ยมครับท่าน” “เห็นด้วยครับผม”
ในทุกเรื่อง ก็จะพบกับความ “หายนะ” อย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะเมื่อผู้นำคิดผิด มีนโยบายผิด หรือ ตัดสินใจผิด
แต่คนในกลุ่มไม่กล้าโต้แย้ง ก็จะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นต่อกลุ่มทั้งกลุ่ม
เช่นกัน หลายธุรกิจ หลายองค์กร หลายประเทศที่ล่มสลายทางธุรกิจทางเศรษฐกิจ
และทางสังคม เพราะผู้นำคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวหรือศักดิ์ศรีส่วนตัว คิดผิด
มีนโยบายผิด และไม่ยอมให้ใครที่มีความคิดเห็นขัดแย้ง โดยไม่ฟังเหตุฟังผล หรือ ฟังแต่ไม่คิดจะทำตามไม่ว่าความเห็นแย้งจะมีเหตุผลเพียงใดก็ตาม
ก็คงเป็นตัวอย่างที่ดีถึงเรื่องดังกล่าว ทำนองว่า ยืนหยัดในความคิดเห็น (ผิดๆ)
ของตนเอง ในขณะที่คนอื่นๆก็ไม่กล้าโต้แย้งอีก จนเกิดความ “ฉิ-หาย” กันหมด ก็มีให้เห็นกันมากมาย
ทั้งหมดเกิดจากการยึดมั่นถือมั่นใน “อัตตา” หรือ “อีโก้” หรือ “ความเห็นแก่ตัว” ของตนเอง
“ความขัดแย้ง
ที่ดี” จึงควรเป็นความขัดแย้งที่เกิดจากความคิดเห็นที่มาจาก
“การมุ่งผลประโยชน์ส่วนรวม” มากกว่า
“ผลประโยชน์ส่วนตัว”
การแสดงความเห็นแย้งเพื่อประโยชน์ต่อองค์กร ต่อกลุ่ม ต่อสังคม หรือประเทศ
ดังที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Nothing Personal” หรือ “ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว” หรือหากเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ส่วนตัว
ก็ควรคำนึงว่าส่วนรวมก็ต้องได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน ผู้ที่ถูกเสนอความเห็นแย้งกับตนก็ไม่ควรยึดติดกับ
“หน้าตา อัตตา หรือ อีโก้”
ของตนเองจนไม่ยอมรับฟังผู้อื่น ไม่พิจารณาความเห็นแย้ง
ผมเคยร่วมประชุมในองค์กรต่างประเทศที่ทำงานแบบมืออาชีพ
เวลาประชุมเขาจะกล้าแสดงความเห็นแตกต่างในทุกระดับ แม้แต่ทุบโต๊ะทะเลาะกัน
ตะโกนใส่กันก็มี เพื่อผลประโยชน์สูงสุดขององค์กร
แต่เมื่อได้ข้อสรุปหรือจบการประชุม ก็ควงกันไปกินข้าวเฉยเลย
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างนี้แหละที่ผมเรียกว่า “Nothing
Personal” ของจริง ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็น
กล้าเสนอเหตุผลต่างๆเพื่อโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นด้วย ขณะเดียวกัน ก็เปิดใจให้กว้าง ยินดีรับฟังความคิดเห็นและเหตุผลของผู้อื่น
เพื่อหาทางออกและข้อสรุปที่ “ดีที่สุด” สำหรับองค์กรหรือสำหรับกลุ่ม สิ่งนี้ผมเรียกว่า “ความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์” ซึ่งผมอยากให้มีเกิดขึ้นในทุกลุ่มของสังคมไทย
ผมจึงอยากจุดประกายให้ผู้อ่าน
ได้เข้าใจและเริ่มปรับตัวให้ยอมรับ “ความเห็นต่าง” หรือ “ความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์” เริ่มจากในครอบครัว ในกลุ่มเพื่อน ในหมู่บ้าน ในสังคม และในประเทศ
เพื่อสร้าง “ความคิดเห็นต่าง อย่างสร้างสรรค์ ด้วยใจเปิดกว้าง
เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม” ให้เกิดขึ้นในสังคมนี้ต่อไป
#กลัวความขัดแย้ง #ความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ #ทนายไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง
#ทนายมงคล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น