วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลักสูตรที่ให้การฝึกอบรม และ ปรึกษาธุรกิจ

M training

ให้การฝึกอบรมบุคคล และองค์กร ในหัวข้อต่างๆ ดังนี้
(Training Services)

เกี่ยวกับธุรกิจ การเจรจาต่อรอง การตลาด การขาย ได้แก่
 -  การเจรจาต่อรองทางธุรกิจ (Business Negotiation)
 -  การเจรจาต่อรองทางธุรกิจเชิงลึก (Advanced Business Negotiation)
 -  กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ (Modern Marketing Strategies)
 -  การจัดทำแผนธุรกิจ (Effective Business Plan)
 -  พื้นฐานธุรกิจ (Basic Business Concept)
 -  ศิลปะการขาย (Art of Selling)
 -  การสร้างแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จในการขาย (Motivation for Sales)
 -  การทำงานเป็นทีม และ การจัดการความขัดแย้ง
        (Teamwork and Conflict Management)
 -  การพัฒนาศักยภาพสู่ความสำเร็จ โดยใช้ความคิดเชิงบวก
         (Develop Maximum Potential with Positive Thinking)
 -  จิตภาษา (NLP: Neuro Linguistic Programming)
 
เกี่ยวกับศิลปะการพูด การนำเสนอ และ บุคลิกภาพ ได้แก่ 
 -  ศิลปะการพูดในที่ชุมชน (The Art of Public Speaking)
 -  การเป็นวิทยากร (Train the Trainer)
 -  เทคนิคการนำเสนอแบบมืออาชีพ (Professional Presentation Technique)
 -  การพูดจูงใจสำหรับผู้นำ (Convincing Techniques for Leadership)
 -  บุคลิกภาพที่ดีสู่บริการที่น่าประทับใจ (Good Personality and Services)

เกี่ยวกับกฎหมาย ได้แก่ 
 -  กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA: Personal Data Protection Acts)
 -  กฎหมายคอมพิวเตอร์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Computer and Ecommerce Law)
 -  กฎหมายลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา (Copy Right and Intellectual Property Law)


 ติดต่อวิทยากร ที่ LineOA= @zru5884r
.
* หมายเหตุ
   กรุณานัดหมายวิทยากร โดยติดต่อล่วงหน้าประมาณ 7 - 10 วันขึ้นไป ก่อนวันฝึกอบรม 

=========================================================
ประเภทของการฝึกอบรม

Public Training
     ให้การฝึกอบรมแก่ผู้สนใจทั่วไปจากหลากหลายองค์กร จัดเป็นระยะๆ ตามกำหนดการ 
โดยบริษัทฝึกอบรมต่างๆ

Inhouse Training / Corporate Training
     ให้การฝึกอบรม ที่บริษัท หรือ องค์กร ของท่านเป็นกลุ่ม สามารถไปทั่วประเทศไทย

Personal Training or Small Group Training or Online Training **
     สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกอบรมส่วนตัว หรือ กลุ่มเล็ก หรือ อบรมผ่านสื่อออนไลน์ 
  , วิทยากร, วิทยากรฝึกอบรม, ฝึก
***********************************************************************

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การสร้างนิสัยรักการอ่าน

บุคคลสำคัญในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต และ การงาน แทบทุกคน ให้ความสำคัญกับ "การอ่าน" เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ แต่คนทั่วไปส่วนใหญ่ ไม่ชอบการอ่าน และ อ่านหนังสือกันน้อยมาก

อยากแนะนำว่า "โอกาส" และ "ทางแก้ปัญหา" หลายๆอย่างนั้น ได้มาจากการอ่านทั้งสิ้น ดังนั้น จึงควรมาพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรจึงจะสร้างนิสัย "รักการอ่าน" ให้เหมือนกับนิสัย "รักการเที่ยว" "รักการกิน" หรือ "รักกีฬา"

เทคนิคการสร้างนิสัยรักการอ่าน ขอแนะนำเป็นข้อๆไป ดังนี้


1. เริ่มจากการหาหนัวสือ วารสาร นิตยสาร สิ่งพิมพ์ ในประเภทที่ตนเองชอบ หรือ สนใจมาเป็นตัวเริ่มต้น เช่น นิตยสารดารา นวนิยายเด็ก หนังสือพิมพ์ วารสารท่องเที่ยว นิตยสารกีฬา เป็นต้น รวมถึงเว็บไซต์ข้อมูลหรือบทความต่างๆที่มีเนื้อหาที่ตนสนใจ เพราะหากเราเริ่มจากสิ่งที่ตนเองรักชอบเป็นพิเศษ จะทำให้อยากอ่าน และทนอ่านได้นาน

2. เมื่อเริ่มต้นฝึกนิสัยการอ่าน จะพบว่าตนเองอ่านได้ไม่เร็วนัก เนื่องจากขาดการฝึกฝนมานาน บางคนอ่านย้อนไปย้อนมา หรือ อ่านเป็นคำๆ ทำให้อ่านได้ช้า แต่เมื่ออ่านสิ่งที่ตนสนใจบ่อยๆ ก็จะทำให้สามารถอ่านได้คล่องขึ้นและเร็วขึ้น ทักษะด้านการอ่านเร็วนั้น ต้องค่อยๆพัฒนาจากการอ่าบ่อยๆ โดยฝึกตนเองให้อ่านทีละประโยค ไม่ใช่ทีละคำ และอ่านรวดเดียวจนจบย่อหน้า อย่าอ่านย้อนประโยคไปมา เมื่ออ่านจบย่อหน้าหากไม่เข้าใจค่อยย้อนมาอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นย่อหน้ารวดเดียวจนจบซ้ำอีกครั้ง จึงจะได้ความคิดรวบยอดของย่อหน้านั้น

3. เมื่ออ่านหนังสือประเภทที่ตนชอบจนเริ่มคล่องแล้ว ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักชอบอ่านหนังสือแนวบันเทิง ก็ขยับขยายมาเป็นหนังสือแนวอื่นที่อาจเป็นแนวสาระมากขึ้น แต่ยังเป็นสาระที่ตนเองสนใจเป็นการส่วนตัวอยู่ เช่น คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี การเงินส่วนบุคคล จิตวิทยาการพัฒนาตนเอง เป็นต้น เพราะหนังสือแนวนี้จะช่วยพัฒนาความรู้ความคิดให้แก่ผู้อ่านได้มาก

4. ค่อยๆอ่านวันละเล็กละน้อยก่อนนอน เช่น อ่านเป็นเวลา 15 -30 นาที ก่อนนอนทุกคืน จนติดเป็นนิสัย เหมือนการแปรงฟันอาบน้ำก่อนนอน คือ ต้องอ่านหนังสือก่อนนอนมิฉะนั้น จะรูสึกว่าลืมทำอะไรไปสักอย่าง แสดงว่าท่านเริ่มติดการอ่านแล้ว

5. พัฒนานิสัยรักการอ่านมาสู่จุดที่ มีหนังสือติดตัว ติดรถ หรือ ติดกระเป๋า ไว้ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่มีเวลาว่า หรือ กำลังนั่งรออะไรก็ตาม ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทุกครั้งไป เป็นการฆ่าเวลา และได้ความรู้ไปด้วย ทำให้ไม่ต้องห่วงว่า ไม่ว่าง ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เหมือนกับข้ออ้างของคนส่วนใหญ่ เพราะคุณสามารถอ่านได้ทุกช่วงเวลาสั้นๆที่มี

6. หลังจากได้อ่านหนังสือที่ตนเองสนใจเป็นหลักได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ลองอ่านหนังสือแนวอื่น เพื่อขยายขอบเขตความรู้ของตนเองให้กว้างขวางยิ่งๆขึ้นไป เช่น หากชอบอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา ก็ลองอ่านหนังสือแนวบริหารการเงินดูบ้าง หรือหนังสือการดูแลสุขภาพ เทคโนโลยี เป็นต้น

7. ทุกครั้งที่อ่านหนังสือจบ ควรต้องทบทวนดูสารบัญ อีกรอบเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดว่า โดยรวมแล้ว หนังสือเล่มนั้นพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง และ ที่สำคัญที่สุดคือ มีประเด็นใดบ้างที่เราได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนั้นจากที่ไม่เคยรู้มาก่อน หรือ ไม่เคยให้ความสำคัญกับประเด็นนั้นมาก่อน และ จะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร เอาซัก 1-2 เรื่องก่อนก็เพียงพอแล้ว เพราะบางแนวคิดในหนังสือดีๆ เพียง 1-2 เรื่องก็อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้อ่านบางคนไปได้ตลอดไปเลยทีเดียว อีกทั้งความรู้สึก "ปิติ" มีความสุขที่ได้ "รู้" หรือ เกิด "ปัญญา" ขึ้นจากการอ่าน อีกทั้งยังนำไปปฏิบัติให้เกิดผลได้ในเรื่องใหม่ๆ ก็จะยิ่งทำให้มีแรงบัลดาลใจให้อยากอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนติดนิสัย "รักการอ่าน" ในที่สุด

8. ทดลองนำความรู้ที่ได้รับจากหนังสือ ไปปฏิบัติดูในชีวิตประจำวัน เช่น หากอ่านเทคนิคการทำกับข้าว ก็ลองนำบางเมนูอาหารไปทำจริงๆดู หากอ่านเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร ก็ลองนำไปทำกับคอมพิวเตอร์จริงๆ หากอ่านเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคล ก็นำไปใช้บริหารการเงินของตนเองจริงๆ หากอ่านเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ก็ลองหาโอกาสไปเที่ยวสถานที่นั้นๆดู หากอ่านเกี่ยวกับการนังสมาธิ ก็นำไปฝึกนั่งสมาธิเอง หากอ่านเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ก็เริ่มออกกำลังกายตามคำแนะนำในหนังสือดู เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการนำความรู้ไปปฏิบัติจริง จะทำให้ท่านรู้สึกสนุกกับการอ่านมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วได้นำไปใช้จริง

9. เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้นในชีวิต ให้เริ่มต้นจากการเข้าร้านหนังสือ เข้าห้องสมุด หรือ เข้าอินเตอร์เน็ต ค้นหาดูซิว่ามีใครเคยเขียนเกี่ยวกับปัญหาเดียวกับที่เรากำลังพบเจอมาก่อนหรือไม่ หากพบก็ "อ่าน" มันซะ เพื่อดูว่าเขามีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร จัดการกับปัญหาให้ลุล่วงได้อย่างไร เพื่อเราจะได้นำไปประยุกต์ใช้บ้าง และ ในหลายๆครั้ง ท่านจะพบว่า ปัญหาเกือบทุกปัญหา ที่คนทั่วไปพบอยู่นั้น เคยมีคนอื่นพบเจอแบบเดียวกันมาแล้ว และเขาหาทางแก้ไขปัญหาได้แล้ว อีกทั้งยังได้เขียนวิธีแก้ปัญหาเอาไว้แล้ว เพียงแต่เรายอมค้นคว้าหา "อ่าน" แค่นั้นเอง ปัญหาที่เผชิญอยู่ก็จะถูกแก้ไปได้อย่างง่ายดาย โดยอาศัยภูมิปัญญาของผู้อื่น ทำให้ไม่ต้องลองผิดลองถูกเองมากเกินไป หรือ มัวแต่มานั่งกลุ้มใจกับปัญหาที่ตนเองแก้ไขไม่ตก แต่คนอื่นแก้ตกไปนานแล้ว อีกต่อไป

เขียนบทความ โดย มงคล ตันติสุขุมาล