วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562

ความโง่เขลา 8 ประการ


ความโง่เขลา 8 ประการ
    
     ขออนุญาตกล่าวถึงเรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตของคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ พบเจอ และ ให้ความรู้กับผู้คนบ้างตามสมควร ผมอยากพูดถึงเรื่องที่ผมเรียกว่า ความโง่เขลา 8 ประการ ของชีวิตคนเรา เรื่องที่ว่านั้น คือ


1.       มีโอกาสเรียนรู้แต่ไม่เรียน ในโลกนี้มีคนมากมายที่ขาดการศึกษาทั้งๆที่อยากเรียนใจจะขาด แต่ขาดโอกาส ขาดทุนทรัพย์ ในขณะที่มีอีกมากมายที่มีโอกาส มีทุนทรัพย์ แต่ไม่เรียน ทั้งเรียนในระบบการศึกษา หรือ เรียนรู้ด้วยตนเองนอกระบบโรงเรียน ล้วนไม่ทำ เด็กหลายคนเมื่อมีโอกาสเรียน พ่อแม่ผู้ปกครองยอมทำงานเหนื่อยให้ได้เรียนสูงๆ แต่กลับไม่ใส่ใจเรียน มัวเที่ยวเล่นจนเกินความพอดี ไม่รู้จักหน้าที่ว่าตนเป็น นักเรียน หรือ นักศึกษา ก็ต้อง เรียน หรือ ศึกษา เป็นกิจกรรมหลักของชีวิตประจำวัน ครั้นเมื่อไม่ตั้งใจเรียนจบการศึกษามาด้วยผลการเรียนที่ไม่ดี ก็หางานในองค์กรใหญ่ๆได้ยาก หรือได้งานที่ผลตอบแทนต่ำ ก็รู้สึกเสียดายเวลาที่มีโอกาสเรียนแต่ไม่เรียนให้จริงจัง ผู้ใหญ่หลายคนที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยด้วยมักอ้างว่าตนไม่มีเวลา อายุมากแล้ว อ่านไม่เข้าหัว ฯลฯ สารพัดเหตุผลที่จะทำให้การไม่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมของตนเองนั้นฟังดูสมเหตุสมผล ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ ระบบอัตโนมัติต่างๆเข้ามาทำงานแทนคนได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความรู้ของคนจำนวนมากไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย หากจะรู้ก็เพียงเรื่องเดิมๆที่ทำอยู่ทุกวี่วันเท่านั้น หากงานส่วนนั้นถูกแทนด้วยหุ่นยนต์ เครื่องอัตโนมัติหรือคอมพิวเตอร์ ก็ไม่สามารถไปทำอย่างอื่นที่มีรายได้ดีเหมือนเดิมได้ เพราะไม่เคยเรียนรู้ ไม่เคยฝึกหัด ทำอย่างอื่นไม่เป็น แล้วจึงค่อยมานั่งนึกเสียใจ โทษเวรโทษกรรม เมื่อไม่ก่อกุศลกรรมใหม่ในปัจจุบัน ไหนเลยจะเกิดผลของกรรมดีในอนาคตได้  

2.      มีหนังสือดีแต่ไม่อ่าน
หนังสือคือแหล่งรวมความรู้ ความคิด สติปัญญา และวิธีการทำสิ่งต่างๆ อันเกิดจากความรู้และประสบการณ์ของผู้เขียน ที่รวมรวมมาหลายปี บางท่านอาจเขียนจากประสบการณ์ทั้งชีวิต การอ่านหนังสือจึงเสมือนการย่อเวลาการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการทำงานหลายปีมาเหลือเพียงไม่กี่วันที่อ่านหนังสือจบ ส่วนไหนที่ผู้เขียนทำแล้วได้ผลก็จำไปทำตาม ส่วนที่เขาเตือนว่าอย่าทำก็ไม่ต้องไปทำผิดๆให้เสียหาย เป็นการประหยัดเวลาในชีวิตได้มาก การอ่านหนังสือดีๆแต่ละเล่มหากสามารถนำความรู้ดีๆไปปรับใช้ในชีวิตได้สัก 1-2 เรื่อง ก็ถือว่าคุ้มค่าที่เสียเวลาอ่านแล้ว ดีกว่าลองผิดลองถูกด้วยความไม่รู้อะไรเลยจนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน หรือเกิดความเสียหายมากมาย แล้วค่อยมารู้ทีหลังว่าเรื่องนี้มีคนสอนไว้ในหนังสือตั้งนานแล้ว แต่ไม่อ่านเอง

3.       มีเพื่อนดีแต่ไม่คบหา
คนส่วนใหญ่ล้วนมีเพื่อนไม่ว่าจะเพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน เพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อในสมาคมต่างๆ เป็นต้น ซึ่งในทุกกลุ่มมักมีคนดีๆอยู่ด้วยเสมอ หลายคนเป็นคนที่ดีอย่างไม่เคยพบเคยเห็น เป็นแบบอย่างที่ดีของความประพฤติให้กับเราได้ แต่คนมากมายกลับไม่รู้จักสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนให้สนิทแนบแน่น เมื่อแก่ตัวมาจึงรู้สึกว่าไม่มีใครที่ตนเองสามารถคบหาได้อย่างสนิทใจเลยสักคน หลายคนชอบคบเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อนจอมประจบประแจง เพื่อนที่คอยเอาเปรียบ เพื่อนที่ชอบอวยเอาใจเพื่อหลอกใช้ เป็นต้น แล้วเพื่อนกลุ่มหลังดังกล่าวนี้มีมากซะด้วย แต่คนชอบคบ เพราะสนุกสนาน ได้หน้า ได้ชื่อเสียงในกลุ่มเพื่อน แต่ไม่ได้เพื่อนแท้ครับ เพราะเพื่อนแท้นั้น ไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์ เขาจะคอยเคียงข้าง คอยปลอบใจเมื่อผิดหวัง คอยตักเตือนเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ควรทำ คอยดูแลเรายามยาก ทำนองหนังจีนว่า มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน และคำพูดของเพื่อนแท้มักฟังไม่ระรื่นหู เพราะเขาต้องยอมเสี่ยงต่อการถูกเกลียดชังจากเราหากจะตักเตือนเรา คำตักเตือน คำสั่งสอน มักฟังดูไม่รื่นหู แถมยังน่าเบื่อน่ารำคาญ ลองนึกถึงเวลาพ่อแม่ตักเตือนสั่งสอนดูสิครับ ทำนองเดียวกันนั่นแหละ คนส่วนใหญ่ไม่ชอบฟังคำเตือน คำสอน แต่คนส่วนใหญ่ชอบฟังคำยกยอปอปั้น ประจบสอพลอ เพื่อนที่ดีจึงหาได้ยาก เมื่อพบแล้วจงรักษาเพื่อนดีๆบางคนที่เจอไว้ให้ยาวนาน ในชีวิตนี้ผมว่ามีเพื่อนแท้ เพื่อนดีๆ ไม่ต้องมาก แต่คบแล้วสบายใจ ไม่ต้องกลัวถูกหักหลัง น่าจะดีกว่าและสบายใจกว่า จริงไหมครับ

4.     มีคนฉลาดอยู่ใกล้ตัวแต่ไม่ปรึกษา
ในทุกกลุ่มคน แม้แต่ในครอบครัว มักจะมีคนที่ฉลาดในบางเรื่องที่เราไม่รู้ปะปนอยู่ด้วยเสมอ หรือบางคนในกลุ่มที่มีความสามารถในการเรียนรู้มากกว่าคนอื่นๆ เรียกรวมๆว่า คนฉลาดบางครอบครัวมีคนที่ว่านี้อยู่ในบ้านด้วยซ้ำ แต่ปัญหาคือ ไม่รู้ว่าเพราะ อีโก้ บังตา หรือ ความหมั่นไส้ บังใจก็ไม่ทราบ คนจำนวนมากมักไม่กระตือรือร้นที่จะขอคำปรึกษา หรือ ขอความเห็น ในเรื่องที่คนฉลาดกว่าเขาน่าจะรู้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ อันจะทำให้การตัดสินใจเรื่องต่างๆ ทำได้ดีขึ้น รอบคอบขึ้น แต่กลับมักจะคิดเอง ทำเอง แล้วก็มักจะ เสียหายเอง ถ้าบังเอิญไปทำผิดๆในเรื่องที่ตนเองไม่รู้ แต่มีผู้รู้อยู่ใกล้ตัวแต่ดันไม่ถาม ครั้นเขาจะแนะนำหรือให้ความเห็น คนในกลุ่มก็ไม่คิดจะรับฟัง เขาจึงนิ่งเฉยเสีย แล้วใครหละที่เสียหาย ผมจึงอยากจะแนะนำว่าใครที่มีคนใกล้ชิดในกลุ่มเป็นคนมีความรู้หรือฉลาดในเรื่องใด เมื่อเราจะทำอะไรก็ให้ปรึกษาหารือขอคำแนะนำ ขอความเห็น เพื่อประกอบการตัดสินใจให้รอบคอบขึ้น มิฉะนั้น จะเข้าทำนอง ใกล้เกลือ กินด่าง นะ น่าเสียดาย

5.     มีคู่ชีวิตที่ดีแต่ไม่รักษาไว้
ผู้ที่อยู่เป็นคู่ หลายคู่เป็นคู่ชีวิตที่ดี แต่ธรรมชาติของคนส่วนใหญ่ เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ มักจะมองเห็นข้อเสียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำนองว่าข้อเสียคนอื่นตัวเท่าช้าง ข้อเสียตนเองตัวเท่ามด นานวันเข้าก็เกิดความเบื่อหน่ายและรำคาญคู่ชีวิตของตนเอง เช่น บางคนคู่ตนเองโทรหาบ่อยๆ ตามว่าอยู่ไหน เมื่อไหร่จะกลับบ้าน อีกฝ่ายก็รู้สึกรำคาญว่าตามจิกอะไรนักหนา ทั้งๆที่เขารักและเป็นห่วงแท้ๆ คนไม่รักกันจะไม่ห่วงใยกันครับ จะไม่แคร์กันว่าจะไปเป็นตายร้ายดีที่ไหน เข้าทำนองว่า ตัวใครตัวมันเรื่องของคุณ ในขณะเดียวกันคู่ชีวิตที่ดีเขาจะคอยดูคอยแลว่าคุณทำเรื่องอะไร คุณต้องตัดสินใจเรื่องใด เขาอยากรู้และอยากมีส่วนร่วมในการให้ความเห็น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่กินข้าวกับอะไรดี ไปเที่ยวที่ไหนดี ให้ลูกเรียนพิเศษที่ใดดี จะใช้เงินซื้ออะไรดี จะลงทุนอะไรดี ฯลฯ เป็นต้น ทุกเรื่องนั่นแหละ เพราะเขาเห็นว่า คู่ชีวิต คือชีวิตที่คิดและตัดสินใจเป็นคู่ แต่บางคนกลับคิดว่า เรื่องของฉัน เงินของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้ อย่ามายุ่ง รำคาญ หากท่านไม่อยากให้ใครมาร่วมตัดสินใจไม่ว่าเรื่องใดๆในชีวิต ก็จงใช้ชีวิตที่เหลือ อยู่คนเดียว ดีที่สุด ไม่รู้ว่าท่านอยากได้คู่ชีวิตแบบไหน มีคนคอยห่วงใย หรือ ไร้คนสนใจ เมื่อเขาห่วงท่านแต่ท่านไม่สนใจเขาหรือรำคาญเขา เขาอาจไม่สามารถทนอยู่กับคุณได้ตลอดไปนะครับ ตบมือข้างเดียวมันย่อมไม่ดังครับ สุดท้ายคนที่รักและห่วงใยคุณที่สุด จากไปแล้ว จึงบอกว่า มีคู่ชีวิตที่ดีแต่ไม่รักษาไว้

6.    มีเงินได้แต่ไม่รู้จักเก็บเงิน
คนเราเมื่อยังมีแรงดี มีสติปัญญาดี ยังไม่เจ็บป่วยเรื้อรัง ยังไม่หมดเรี่ยวแรง ทำงานได้ มีรายได้ มีเงินเท่าไหร่ก็ใช้หมด ซื้อของฟุ่มเฟือย ลงทุนส่งเดชโดยไม่มีความรู้ ให้คนอื่นยืมเงินแล้วไม่ได้คืน ฯลฯ สารพัดทางที่เงินทองจะรั่วไหล เมื่อเงินไม่พอใช้ก็กู้หนี้ยืมสินมาใช้ เป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ พร้อมกับต้องจ่ายดอกเบี้ย ตอนที่ยังทำงานไหวมีเงินเข้าทุกวันทุกเดือน ก็ไม่เห็นปัญหาหรอก แต่เมื่อใดที่ตกงาน ล้มป่วยทำงานไม่ได้ เมื่อนั้นแหละที่ หายนะ (อ่านว่า หาย-ยะ-นะ) จะมาเยือน ถ้าหนักถึงขั้นที่ป่วยเรื้อรังทำงานหนักต่อไปไม่ได้ ยิ่งเรียกว่า ฉิ..หา..ละ
ในชีวิตผมมีโอกาสพบคนหลายคนที่ป่วยเรื้อรังตั้งแต่วัย 30 หรือ 40 ต้นๆ เป็นเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก ผมเคยไปดูงานที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย บางคนแม้ดีขึ้นแล้วแต่พูดได้ลำบาก บางคนพูดเป็นประโยคยังไม่ได้เลย จดจำไม่ได้ เดินตัวตรงไม่ได้ บางคนร่างกายอ่อนแรงครึ่งซีกตลอดชีวิต บางคนนั่งรถเข็นตลอดชีวิต ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสพบผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง ต้องรักษาตัว ไม่มีเรี่ยวแรง ทำงานไม่ไหว โรคพวกนี้ต่อให้ทำประกันไว้เขาจ่ายก้อนเดียวจบนะครับ ซึ่งมักจะไม่เพียงพอรักษา หรือรักษาเบื้องต้นเสร็จ ตอนฟื้นฟู ทำงานไม่ได้ก็ไม่มีเงินกินใช้ในชีวิตประจำวัน และต้องอยู่อย่างคนอนาถา หรือต้องเป็นภาระให้คู่ชีวิตหรือลูกหลานญาติพี่น้องตลอดไป ยิ่งใครที่มีพันธุกรรมซึ่งมีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เป็นโรคหลอดเลือด หรือ โรคมะเร็ง ซึ่งทางการแพทย์แล้วเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้ลูกหลานมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าวสูงกว่าคนปกติหลายเท่าตัว เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ตอนยังแข็งแรงทำงานไหวยิ่งต้องรู้จักเก็บเงิน เมื่อยามป่วยเรื้อรัง จะได้ไม่ต้องเจอสภาวะหมดเนื้อหมดตัวเพราะการเจ็บป่วย
แม้แต่คนปกติที่แข็งแรงจนถึงวัยเกษียณที่ 60 ปี หลังจากนั้นก็มักจะมีโรคอันเกิดจากความเสื่อมของสังขารมาเยือน เช่น ข้อเข่าเสื่อม กระดูกทับเส้น เก๊าท์ ความดัน เบาหวาน เป็นต้น มีแต่ค่าใช้จ่ายในการรักษา แต่รายได้ไม่มี หรือมีอย่างจำกัด แล้วจะอยู่อย่างไรให้ไม่ลำบาก ก็ต้องพึ่งลูกหลาน แล้วถ้าลูกหลานไม่เลี้ยงไม่ดูแล หรือไม่มีทายาท จะทำอย่างไร พึงคิดและเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ตอนทำงานไหวนะครับ มีเงินได้ต้องรู้จักเก็บเงิน เก็บได้ไม่มากก็ยังดีกว่าไม่เก็บเลย อย่ารอให้เข้าทำนอง ไม่เห็นโรงศพ ไม่หลั่งน้ำตา

7.      มีความฝันแต่ไม่ลงมือทำ
ผมเคยอ่านเจอเรื่องราวของงานวิจัยเกี่ยวกับคนใกล้ตายในต่างประเทศ โดยมีนักวิจัยไปสอบถามผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียงหลายคน ว่า ในชีวิตที่ผ่านมานี้ มีอะไรที่คุณรู้สึกเสียใจมากที่สุด ?” ท่านคงคิดว่าคำตอบน่าจะเป็นทำนองว่า อยากกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตเมื่อนั้นเมื่อนี้ แต่คำตอบส่วนใหญ่ คือ มีความฝันบางอย่างที่อยากทำ แต่ไม่มีโอกาสได้ทำ ไม่ว่าจะเพราะความลังเลในอดีต หรือ เพราะภาระการงานอื่นใดก็ตาม ทำให้ไม่สามารถทำตามความใฝ่ฝันของตนเองได้ และ บัดนี้ ก็ไม่มีโอกาสจะทำฝันให้เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว แปลว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้ผิดหวังเสียใจกับการทำอะไรแล้วผิดพลาดไม่สมหวัง มากเท่ากับ การมีความฝันแต่ไม่ได้ลงมือทำ ผมจึงอยากแนะนำให้ท่านเริ่มทำตามความฝันของท่านตั้งแต่บัดนี้เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย แม้ว่าผลลัพธ์มันจะไม่เป็นดั่งใจ แต่เมื่อวันใกล้สิ้นอายุขัย ท่านจะได้บอกกับตัวเองว่า ฉันได้ทำตามความฝันของฉันแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นอย่างไรจะสมดังหวังหรือไม่ก็ตามแต่ฉันก็ได้ทำแล้ว ลาก่อน และขอบคุณชีวิต

8.      มีชีวิตแต่ไร้ความสุข
อายุขัยของมนุษย์โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 70-90 ปี แต่ส่วนใหญ่ตอนบั้นปลายชีวิตมักต้องเจ็บป่วยกับโรคชรากันทุกคน ถ้าอยู่ถึงวัยชรานะ เมื่อร่างกายเป็นทุกข์เพราะความเจ็บป่วย จิตใจก็ยากที่จะมีความสุข แต่นั่นก็เป็นเรื่องของสังขารที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ปัญหาที่หลายคนพบก็คือ แม้ในยามหนุ่มสาว ในยามที่ร่างกายแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใสอยู่นั้น คนเรากลับขยันหาเรื่องเป็นทุกข์มาคิดอยู่เรื่อย เช่น ไม่ชอบคนนั้น หมั่นไส้คนนี้ เกลียดงานนี้ อยากได้งานนั้น อยากได้โทรศัพท์รุ่นใหม่ อยากได้กระเป๋าใบนั้น ทำไมเขาได้เงินเดือนดีกว่าฉัน ทำไมต้องเป็นฉันที่ผิดหวัง ทำไมเขาถึงทิ้งฉันไป ทำไมฉันถึงไม่เป็นเศรษฐีพันล้าน ทำไม ทำไม ทำไม ร้อยแปดเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต นำมาคิดให้เป็นทุกข์ได้หมดถ้าต้องการ คนเรามัก ไขว่คว้าหาสิ่งที่ขาด มากกว่าพึงพอใจในสิ่งที่มี จิตใจจึงไม่เคยพบความสงบสุขที่แท้จริง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตนี้ความคิดและจิตใจก็ต้องแบ่งเวลาให้กับ ความทุกข์ มากกว่าใช้เวลากับ ความสุข ทำไมเราไม่พอใจในสิ่งที่มีก่อน เช่น
ฉันมีร่างกายแข็งแรงดี มีความสุขจัง ในขณะที่หลายคนกำลังเจ็บป่วยเรื้อรัง
ฉันกินได้นอนหลับดี มีความสุขจัง ในขณะที่มีคนไม่น้อยที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ฉันยังมีงานทำ มีความสุขจัง ในขณะที่หลายคนถูกเลิกจ้าง
ฉันมีลูกแข็งแรง มีความสุขจัง ในขณะที่มีอีกหลายคนเฝ้าบนบานศาลกล่าวขอให้มีลูกสักคน
ฉันยังมีคู่ชีวิต มีความสุขจัง ในขณะที่หลายคนหย่าร้าง
ฉันมีห้องนอน มีความสุขจัง ในขณะที่หลายคนนอนข้างถนน
ฉันยังคงหายใจและมีชีวิตอยู่ มีความสุขจัง ในขณะที่หลายคนอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนี้
          ใครที่มองส่วนดีให้เป็น ก็เห็นสุข ความสุขทางใจจึงอยู่ที่ วิธีคิด และ มุมมองต่อชีวิตตนเอง มากกว่าความเป็นจริงที่ตีความเชิงเปรียบเทียบในทางลบ ทุกชีวิตล้วนเป็นไปตามกรรม จงใช้ชีวิตให้ มีความสุข ในทุกๆลมหายใจ
.
ทั้งหมดนี้ผมเขียนขึ้นเพื่อเตือนใจตนเอง เตือนใจคนใกล้ชิด เตือนใจผู้อ่าน ด้วยหวังว่าพวกเราจะไม่ต้องพบกับ ความโง่เขลา 8 ประการตลอดไป ด้วยความปรารถนาดี และสวัสดีปีใหม่ 2562 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น