วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เก็บเงินอย่างไรให้ได้เป็นกอบเป็นกำ



เก็บเงินอย่างไรให้ได้เป็นกอบเป็นกำ
(อ.มงคล ตันติสุขุมาล)

คนทั่วไปหลายคนอยากเก็บเงินให้ได้เป็นก้อน เพื่อนำไปลงทุนให้ออกดอกออกผลไว้ใช้ยามเกษียณ แต่เก็บเงินไม่อยู่ จึงขอใช้โอกาสนี้ให้คำแนะนำบางประการในการเก็บเงินให้อยู่ ดังนี้

    1. ทำบันทึกรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือน ควรมีการบันทึกว่ามีรายได้เท่าไหร่ มีรายจ่ายหลักๆอะไรบ้างรายการละเท่าไหร่ เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นต้น เพื่อให้ท่านสามารถรู้ว่าเราหมดเงินไปกับค่าอะไรบ้างในแต่ละเดือน โดยอาจเก็บใบเสร็จในการซื้อสินค้าทุกใบหนีบรวมกันไว้ พอสิ้นเดือนก็มาแยกหมวดหมู่ แล้วรวมตัวเลขบันทึกไว้

    2. งดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย และเป็นโทษทุกชนิด เช่น บุหรี่ เหล้า เที่ยวกลางคืน การพนัน แทงหวย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องจำเป็นกับชีวิต แต่ดูดเงินไปเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือน หากคิดจะซื้อหวยเพราะชอบเสี่ยงโชค ผมว่านำเงินไปซื้อสลากออมสิน หรือสลากออมทรัพย์ ธกส. จะดีกว่า เพราะตรวจรางวัลได้ทุกเดือนโดยที่เงินต้นยังอยู่ครบ แถมมีดอกเบี้ยให้อีกต่างหาก

    3. หาทางลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าเสื้อผ้า ไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่เป็นประจำหากของเก่าก็ยังมีอยู่มากแล้ว อย่าติดแบรนด์ อย่าติดหรู ค่าอาหารไม่จำเป็นต้องไปทานอาหารร้านหรูราคาแพง ทำกินเอง หรือ ซื้อร้านที่ประหยัดสะอาด อร่อย ก็พอแล้ว รถยนต์ก็ขับออกไปเฉพาะที่จำเป็นและมีการวางแผนการเดินทางให้ดี เพื่อประหยัดน้ำมัน ท่านลองคิดดูนะว่าประหยัดได้ 100 บาท/วัน ปีหนึ่งก็ประมาณ 36,500 บาท แล้ว

    4. ไม่กู้หนี้ยืมสินทั้งในระบบและนอกระบบ หรือผ่อนบัตรเครดิต เพื่อการอุปโภคบริโภค หรือ กินใช้ เพราะมีแต่จะเอาเงินในอนาคตมาใช้ แต่ต้องเสียดอกเบี้ยให้คนอื่น หนี้ที่มีอยู่ทยอยใช้ให้หมด และอย่าสร้างหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคเพิ่มอีก ในกรณีกู้หนี้เพื่อการลงทุนทำธุรกิจหรือค้าขาย ก็อย่ากู้โดยไม่จำเป็น ค่อยๆทำจากเล็กๆเท่าที่ทุนมีไปหาใหญ่ ศึกษาธุรกิจให้ถ่องแท้ไม่ใช่ทำสิ่งที่ลงทุนสูงแต่ไม่ถนัดขาดทุนไม่รู้จบ เปิดหูเปิดตาหาความรู้ให้มากจะรู้ว่ามีธุรกิจที่ลงทุนต่ำแต่มีโอกาสเติบโตได้ดีอยู่มากมายในโลกใบนี้ ขอเพียงอย่ารังเกียจอาชีพสุจริตใดๆ และอย่าเพิ่งคิดว่าตนเองทำไม่ได้ก็พอ ทุกอย่างเรียนรู้และฝึกฝนได้

    5. เมื่อรับรายได้ ให้หักเงินไว้ 10%-20% ตามแต่ความสามารถในการหาเงิน หากหาได้มากก็เก็บมาก นำไปฝากประจำสะสมไว้ก่อนโดยคิดซะว่าเงินก้อนนี้หายไปจากชีวิตประจำวันอย่างถาวร ไม่ต้องคิดถึงมันอีก หลายเดือนผ่านไปมีเงินเพิ่มเป็นก้อนใหญ่ ก็นำไปฝากประจำ ซื้อพันธบัตร ซื้อสลากออมทรัพย์ หน่วยลงทุน ฯลฯ ที่เงินจะอยู่กับแหล่งที่มีดอกเบี้ยทบต้น หรือปันผล ทำให้เงินงอกเงยอย่างช้าๆ

    6. เงินเหลือจากหักเก็บไว้เหลือเท่าไหร่ ใช้เท่าที่เหลือ หากคิดว่าไม่พอ ให้หาทางหาเงินเพิ่มจากการทำงานเสริมนอกเวลา อย่ารังเกียจอาชีพสุจริตใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายอะไรก็ตาม อย่าขี้เกียจ เพราะการทำงานเสริมนอกเวลางานนี้เองจะเป็นกิจกรรมเพิ่มรายได้เป็นอย่างดี บางคนทำไปทำมามีรายได้มากกว่างานประจำก็มีให้เห็นมามาก

    7. หากเห็นของที่อยากได้ อย่าติดนิสัยรีบซื้อทันที แต่ให้ลังเล คิดก่อนว่ามีของอื่นที่บ้านที่ใช้ทดแทนได้ไหม หรือ เลื่อนการตัดสินใจซื้อออกไปอีก 1 สัปดาห์ได้ไหม เพราะบางครั้งความอยากได้ใคร่มีหายไปแล้วหลังจากเลื่อนการตัดสินใจออกไป หากเรากลั้นใจไม่ซื้อของใหม่ ไม่ทานอาหารแพง ประหยัดเงินได้เท่าไหร่ นำใส่กระป๋องไว้ คิดเสียว่าเงินก้อนนี้ถูกใช้ไปแล้ว ไม่ต้องสนใจมันอีก เมื่อเวลาผ่านไปเปิดกระป๋องดู จะเห็นว่าเงินที่เราอดใจไม่ใช้จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ นำไปฝากร่วมกับเงินที่หักไว้จากรายได้ เงินเก็บก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

    8. การเลือกแหล่งพักเงินก็สำคัญ เมื่อเป็นก้อนก็ควรนำไปฝากประจำ หากเห็นว่าดอกเบี้ยน้อย ก็อาจพิจารณานำไปซื้อหน่วยลงทุนที่มีผลตอบแทนดี แต่ผมไม่แนะนำให้นำไปซื้อหุ้นหากท่านไม่ใช่ผู้มีความรู้เรื่องหุ้นและมีเวลาศึกษาติดตามความเป็นไปของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นอย่างดี เพราะหลายคนตามทั้งวันทุกวันยังขาดทุนหุ้นอยู่เลย หากคิดจะลงทุนในหุ้น ให้มีเงินเหลือเก็บเย็นๆใจก่อนค่อยนำเงินส่วนหนึ่งมาซื้อหุ้น มิฉะนั้นแทนที่เงินจะงอกเงย อาจจะหดหายไปก็เป็นได้ การซื้อหุ้นก็ควรมีส่วนที่เป็นการลงทุนระยะยาวด้วยเพื่อลดความเสี่ยง ไม่ใช่ซื้อมาขายไประยะสั้นซะทั้งหมด เพราะความเสี่ยงจะยิ่งสูงมาก

    9. นำเงินบางส่วนไปลงทุน ค้าขายเล็กๆน้อยๆตามกำลังทรัพย์และความถนัดที่มี หรือ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม การลงทุนเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะเร่งรายได้ให้เพิ่มสูงขึ้นได้หากทำอย่างถูกที่ถูกทาง

  10. รู้จักทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันภัย เพื่อลดความเสี่ยงในการต้องใช้เงินจำนวนมากๆเพื่อรักษาตัวยามเจ็บป่วย หรือทรัพย์สินเสียหาย เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น จะได้ไม่ต้องนำเงินเก็บออกมาใช้ เพราะประกันจ่ายชดใช้ให้แทน

  11. เงินที่เก็บไว้ลงทุนตามหนทางต่างๆ ให้คิดซะว่าจะไม่มีวันนำมาใช้อีกตลอดไป ปล่อยมันออกดอกออกผลจนถึงคราวจำเป็นอย่างยิ่งยวด เช่น เกษียณแล้ว หรือ ทำงานไม่ไหวแล้ว หรือ ต้องใช้เงินรักษาตัวยามเจ็บป่วยเมื่อชรา หรือ ส่งทอดเป็นมรดกให้ทายาท

หากท่านทำได้ตามคำแนะนำข้างต้น เชื่อแน่ว่า เงินเก็บของท่านจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อถึงเวลาหนึ่งท่านจะพบว่าท่านเองก็มีเงินเป็นกอบเป็นกำได้กับเขาเหมือนกัน

(www.TrainingThai.info)
(FB.com/MTrainingBiz)
(ฝึกอบรมธุรกิจ การตลาด การขาย การพูดในที่ชุมชน การทำงานเป็นทีม โทร 0817168711)

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วิทยากรอบรม เรื่อง การใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM)


วิทยากรอบรม เรื่อง

การใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM)
ศูนย์เชียงใหม่
8 มกราคม 2559









วิทยากรฝึกอบรมเรื่อง ศิลปะการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์

วิทยากร อบรม เรื่อง

ศิลปะการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์

กองประชาสัมพันธ์ กรมการพัฒนาชุมชน
โรงแรม ไมด้า ซิตี้ รีสอร์ท กรุงเทพฯ
16-17 ธันวาคม 2558








วิทยากร อบรม เรื่อง เจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์ (Winning Negotiation Strategies)

วิทยากร อบรม เรื่อง

เจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์ 
(Winning Negotiation Strategies)

สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
9 ธันวาคม 2559



วิทยากร อบรม เรื่อง เจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์ (Winning Negotiation Strategies)

วิทยากร เรื่อง

เจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์
(Winning Negotiation Strategies)

สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
18 กันยายน 2558






วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ดูแลลูกอย่างไรให้เรียนได้เกรด 4.00 โดยลูกไม่เครียด

ดูแลลูกอย่างไรให้เรียนได้เกรด 4.00 โดยลูกไม่เครียด

(โดย อ.มงคล ตันติสุขุมาล)

ดูแลลูกอย่างไรให้เรียนได้เกรด 4.00


     พ่อแม่หลายคนที่มีลูก คงมีความกังวลในเรื่องผลการเรียนของลูกไม่มากก็น้อย ทุกคน จึงอยากจะเล่าวิธีการอันน่าจะเป็นประโยชน์ในการเลี้ยงลูกให้เรียนได้ผลการเรียนที่ดี ดังนี้

    1. สุขภาพสำคัญที่สุด ท่านต้องให้ลูกได้ทานอาหารที่ดี บำรุงร่างกาย และสมอง มีโปรตีน และวิตามิน เพียงพอ มีการออกกำลังกายตอนเย็นๆหลังกลับจากโรงเรียนด้วยจะดีมาก พ่อแม่อาจร่วมออกกำลังกายพร้อมกับลูกเพื่อความสนุกสนานและความสัมพันธ์ที่ดีด้วย ในบางครั้งเด็กกลับจากโรงเรียนตอนเย็นแล้วเพลียมากหลับไป ก็ให้พักบ้าง แต่อย่าหลับนานจนตอนกลางคืนนอนไม่หลับนะ

    2. การพักผ่อน ให้ได้นอนหลับเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน ตื่นมาจะได้สดชื่นสมองแจ่มใสพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

    3. อาหารเช้าสำคัญมาก อย่าให้เด็กอดอาหาร หรือ ทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพในมื้อเช้า ในกรณีที่เตรียมอาหารไม่ทัน อาหารเสริมก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ต้องเลือกที่มีคุณภาพสูง มีโปรตีน วิตามิน ครบถ้วน และอิ่มท้อง

    4. ให้ลูกตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้ดีที่สุด หากตัวเล็กแต่นั่งหลัง หรือ โดนบัง มองเห็นกระดานไม่ชัด ต้องขอย้ายที่นั่งมาในตำแหน่งที่มองเห็นกระดานชัดเจน เพราะสมาธิเด็กสั้นกว่าผู้ใหญ่ เมื่อมองเห็นไม่ชัด ก็อาจเลิกสนใจดู หันไปคุยกับเพื่อนแทน

    5. ตรวจสอบสมุดงานที่ครูสั่งการบ้านมาทุกวัน โดยต้องให้ลูกทำการบ้านให้เสร็จก่อนจึงจะเล่นเกมส์หรือดูทีวีได้ อย่าให้เด็กจัดการเรื่องการบ้านเองโดยผู้ปกครองไม่ดูแล เพราะหากเด็กไม่ทำการบ้านจนติดนิสัย หรือ ทำแต่ผิดๆถูกๆเพราะไม่มีใครคอยสอน จะทำให้การสอบที่หลายวิชาครูมักเอาการบ้านมาออกสอบนั้นเด็กทำผิดซ้ำที่เดิม อาจใช้วิธีให้นำการบ้านส่งพ่อแม่ผู้ปกครองตรวจก่อนก็ได้ หากทำผิดจะได้สอนเดี๋ยวนั้นเลย ความจำจะสดใหม่กว่า

    6. เวลาสอนการบ้านลูก หากเขาทำผิดบ่อย เหม่อลอย ไม่ตั้งใจฟัง อย่าดุ อย่าโวยลูก ให้เข้าใจว่าเขายังเด็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของเด็ก จงใจเย็นๆค่อยๆสอน หากพ่อแม่คอยตวาด คอยดุ ต่อว่า จะทำให้ลูกรู้สึกทรมานกับการทำการบ้าน การเตรียมสอบ จนทำให้เครียดและเห็นว่าการเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน
 
    7. ให้เด็กอ่านหนังสือที่ชอบ เพื่อให้รู้สึกว่าการอ่านคือความสุข ความสนุก ไม่เครียด ไม่น่าเบื่อหน่าย เช่น ให้ซื้อหนังสือการ์ตูน หรือ นิทานเรื่องที่ลูกชอบและลูกเลือกเองมาอ่านบ้าง จะทำให้เด็กรู้สึกรักหนังสือ รักการอ่าน ไม่จำเป็นต้องบังคับให้อ่านแต่หนังสือเรียน เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกว่า การอ่านเป็นเรื่องเครียดและน่าเบื่อหน่าย

    8. วางกลยุทธ์การเรียนให้เป็น หากลูกเรียนอ่อนวิชาไหน หากคิดจะให้เรียนพิเศษก็ให้เรียนพิเศษเฉพาะวิชาที่เรียนอ่อนคะแนนแย่ ไม่ใช่เรียนพิเศษสะเปะสะปะ เรียนพิเศษจับฉ่ายสารพัดวิชา ทำให้เสียเวลาเรียนซ้ำสิ่งที่รู้ดีอยู่แล้ว เสียเงินเสียเวลา ขาดการพักผ่อน ขาดการออกกำลังกาย ทำให้สุขภาพแย่เปล่าๆ แบ่งเวลาไปเรียนพิเศษด้านดนตรี หรือกีฬาบ้าง จะได้ร่างกายแข็งแรง จิตใจอ่อนโยน ครูที่เลือกให้ลูกไปเรียนด้วยก็สำคัญ ต้องแน่ใจว่ารู้จริงในวิชาที่สอน สอนเก่ง สอนสนุก เด็กจะได้ไม่เบื่อหน่ายการเรียนพิเศษ

    9. การเรียนคือการสะสมความรู้ตลอดเทอม ไม่ใช่เร่งอ่านเฉพาะช่วงก่อนสอบ 2-3 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษ ต้องท่องศัพท์เป็นประจำทุกวันหรือวันเว้นวัน ส่วนคณิตศาสตร์ ต้องทำโจทย์เป็นประจำสม่ำเสมอจึงจะคล่อง การสะสมความรู้วันละเล็กละน้อยแต่ทุกๆวัน สำคัญที่สุด พ่อแม่ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษอาจพูดคุยกับลูกเป็นภาษาอังกฤษเมื่ออยู่ในบ้านเพื่อความสนุกสนานในครอบครัวและได้ความรู้ไปด้วยในตัว

   10. ช่วงใกล้สอบอย่าให้เด็กมัวเล่นเกมส์ไอแพท หรือ ดูทีวีมากเกินไป โดยอาจเอาไอแพทไปซ่อนไว้ก่อนก็ได้ สอบเสร็จแล้วค่อยนำออกมาให้เล่น

   11. ตั้งรางวัลอัดฉีดเป็นแรงกระตุ้นจูงใจ เช่น หากสอบย่อยได้เต็ม จะพาไปดูหนัง หรือ พาไปทานไอศกรีม หรือ ให้ซื้อหนังสือการ์ตูน 1 เล่ม หากผลสอบปลายภาคได้ 4.00 ปิดเทอมใหญ่จะพาไปเที่ยวที่ใดที่หนึ่งที่เด็กอยากไปและพ่อแม่จ่ายไหว เป็นต้น จะทำให้เด็กมีแรงกระตุ้นจากรางวัลด้วย พ่อแม่บางครอบครัวมักใช้วิธีการลงโทษเป็นวิธีที่ผมเห็นว่าเด็กจะกลัวสอบได้ไม่ดีแล้วจะถูกลงโทษ ทำให้เครียดและไม่มีความสุขกับการเรียน สู้เรียนและสอบให้ได้คะแนนสูงเพื่อชิงรางวัล น่าสนุกกว่าเยอะ

   12. สอนให้เด็กเตรียมตัวก่อนสอบทุกครั้ง ไม่ว่าจะสอบย่อยๆ ก็ไม่มองข้าม เพราะคะแนนเก็บสะสมจากการสอบย่อยคือส่วนสำคัญที่จะทำให้คะแนนรวมดีขึ้น ซึ่งปกติครูมักจะบอกว่าจะสอบย่อยเรื่องใดวันไหน ก็ให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ทำสำเนาโจทย์ในหนังสือเรียน หรือการบ้านให้ลูกทดลองทำอีกครั้งด้วยตนเอง โดยลบคำตอบในสำเนาด้วยน้ำยาลบคำผิด แล้วให้เด็กลองทำดูใหม่อีกครั้ง เป็นการทบทวน เพราะปกติครูส่วนใหญ่มักนำสิ่งที่สอน และการบ้านมาปรับเปลี่ยนคำถามเล็กน้อย แล้วออกเป็นข้อสอบ

   13. สอนให้อ่านโจทย์ 2 รอบ ก่อนที่จะเริ่มทำตอบ ทุกครั้ง เพราะ หากอ่านโจทย์ผ่านๆอาจผิดพลาด ตกหล่น เข้าใจโจทย์ผิด ทำให้ตอบผิด

   14. คืนก่อนสอบกลางภาค และปลายภาค อย่านอนดึก เพราะการเตรียมตัวสอบต้องทำมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ใช่คืนสุดท้ายก่อนสอบ คืนก่อนสอบควรอ่านทบทวนเพียงผ่านๆ ทำใจให้สบาย นอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้จะได้สดชื่น สมองแจ่มใส

   15. สอนลูกให้รู้เทคนิคการทำข้อสอบ เช่น ดูจำนวนหน้าข้อสอบว่ามีกี่ข้อ มีครบไหม อ่านโจทย์สองครั้ง ข้อไหนทำไม่ได้ให้ข้ามไปก่อน ทำข้อที่ทำได้ให้เสร็จทุกข้อก่อน ค่อยวกกลับมากทำข้อที่คิดไม่ออก ในกรณีที่ต้องเดาคำตอบควรเดาอย่างมีหลักการอย่างไร เมื่อทำข้อสอบเสร็จเวลาเหลือ ให้ทบทวนคำตอบ หรือ สุ่มทบทวนหากเวลาที่เหลือมีน้อย และอย่าลืมตรวจดูชื่อนามสกุล เลขที่ บนหัวกระดาษคำตอบว่าเขียนแล้ว และถูกต้อง เป็นต้น

    หากทำได้ตามนี้ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดทั้งเทอม เชื่อได้ว่า โอกาสสอบได้เกรด 4.00 เกิดขึ้นได้แน่ ไม่ภาคเรียนนี้ ก็ภาคเรียนต่อๆไป ที่สำคัญคือเมื่อรู้วิธีการที่ดีแล้ว ให้ “ทำอย่างสม่ำเสมอ” ความแตกต่างของคนเรียนเก่งกับเรียนไม่เก่ง ก็อยู่ที่ “การเรียนอย่างถูกวิธี อย่างสม่ำเสมอ” นั่นเอง 

    แล้วท่านก็จะได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองที่ดูแลลูกให้เรียนได้เกรด 4.00 โดยลูกไม่เครียด

(Facebook.com/MTrainingAndConsulting)
(www.TrainingThai.info)