วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ภาพการฝึกอบรม พลังแห่งวัฒนธรรมองค์กรที่ดีเลิศ

ภาพบรรยากาศการเป็นวิทยากรอบรมเรื่อง 
พลังแห่งวัฒนธรรมองค์กรที่ดีเลิศ
(Power of Organization Culture)
วันที่ 22-23 ตุลาคม 2554
ณ กรุงเวียงจันทน์ ประเทศ สปป.ลาว

















ธุรกิจขนาดย่อมที่เติบโต กับการบริหารจัดการ

เขียนโดย: มงคล ตันติสุขุมาล

    ธุรกิจขนาดย่อมหลายธุรกิจ มักเริ่มต้นจากเจ้าของคนเดียว หรือ ไม่กี่คน การบริหารจัดการก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน คือ เจ้าของหรือหุ้นส่วนใหญ่ เป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลทุกอย่าง ตัดสินใจเองทุกเรื่อง เมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ ต้องตัดสินใจ ในขณะที่หลายเรื่อง เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าความรู้ของเจ้าของกิจการ

   เมื่อถึงเวลานี้ เจ้าของทุกคนมักคิดเรื่องการมองหา "ผู้ช่วยบริหาร" หรือ "ผู้จัดการ" มาช่วยบริหารกิจการ ด้วยหวังว่าจะได้ลดภาระการจัดการ และความวุ่นวายประจำวันลงไปได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็ทำการประกาศรับสมัคร หรือ เรียกหาจากคนรู้จักแนะนำมา เมื่อได้คนที่ต้องการก็รับเข้าทำงาน

   เจ้าของกิจการเดิมมักจะมอบหมายหน้าที่ให้แก่ "ผู้จัดการ" ที่จ้างมา โดยหวังสูงว่าจะให้ผู้จัดการทำให้ทุกอย่างที่สั่ง แต่ เจ้าของธุรกิจยังต้องการจะ "ตัดสินใจ" เองในทุกเรื่อง เช่น การอนุมัติสั่งซื้อต้องให้เจ้าของเซ็นอนุมัตทุกเรื่อง การออกเช็คต้องเป็นเจ้าของเซ็นเท่านั้น การตัดสินใจในโครงการใดๆไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต้องให้เจ้าของเป็นคนตัดสินใจเท่านั้น ทำนองว่า ผู้จัดการ เสนอได้ แต่ห้ามตัดสินใจเอง

   การบริหารพนักงานระดับปฏิบัติงานในบริษัท หากผู้จัดการ สั่งการใดๆออกไป เจ้าของกิจการก็มักไปเปลี่ยนแปลงคำสั่งหากไม่ถูกใจ อีกทั้งมักทำการสั่งงานข้ามหัวผู้จัดการอยู่เป็นประจำ เมื่อผู้จัดการลงโทษพนักงาน เจ้าของก็มักจะเป็นคนเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

   ทำไปทำมา ผู้จัดการที่จ้างมา กลายเป็นเพียงลูกจ้างระดับปฏิบัติงานอีกคนหนึ่ง เท่านั้น ไม่มีหน้าที่ตัดสินใจใดๆ ไม่มีหน้าที่อนุมัติใดๆ หรือ จำกัดมากๆ เข้าทำนอง มอบหน้าที่ แต่ไม่มอบอำนาจ เนื่องด้วยเจ้าของยังคิดว่า ตนเองรู้ดีที่สุด ตัดสินใจเองได้ดีที่สุด ไม่มีใครรู้ดีกว่าตนเอง

  ท้ายที่สุด ผู้จัดการที่จ้างมา ก็เป็นเสมือนหัวหลักหัวตอ ที่พนักงานก็ไม่รับฟังคำสั่ง เพราะเจ้าของมักสั่งข้ามหัว หรือ เปลี่ยนแปลงคำสั่งอยู่เสมอ ให้คุณให้โทษพนักงานระดับปฏิบัติงานไม่ได้ ในขณะเดียวกัน เจ้าของก็คิดว่า ผู้จัดการที่จ้างมา ทำงานไม่ได้ผลดังใจที่ตนเองคาดหวัง สุดท้าย ผู้จัดการ ที่จ้างมาไม่ว่าเขาจะเก่งเพียงไรก็อยู่ไม่ได้ ต้องลาออกไป

  เมื่อเจ้าของจ้างผู้จัดการคนใหม่ ไม่ว่าจะให้เงินเดือนสูงเพียงใด แต่เจ้าของยังทำตัวแบบเดิม ผลลัพธ์ก็เป็นแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

  เรื่องราวข้างต้น ผมมักพบเป็นประจำในองค์กรขนาดเล็กที่เริ่มเติบโต แล้วก็ทำให้องค์กรดังกล่าวโตต่อไปไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยปัญหาที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ต้องจัดการและต้องตัดสินเองทุกเรื่องจนเป็นนิสัย

  ผมอยากแนะนำให้ เจ้าของกิจการ หรือ หุ้นใหญ่ ในธุรกิจขนาดเล็กที่เติบโต และกำลังจ้าง "ผู้จัดการ" ว่า ท่านควรทำดังต่อไปนี้ จึงจะให้การจ้างคนเก่ง มาได้ผลดี

  1. เมื่อมอบ "หน้าที่" ให้ ต้องมอบ "อำนาจ" ในระดับที่เหมาะสมกับหน้าที่ไปคู่กันด้วย  ได้แก่ อำนาจในการให้คุณให้โทษกับผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้จัดการท่านนั้นอย่างเต็มที่ ให้อำนาจในการตัดสินใจเรื่องการอนุมัติงบประมาณในระดับที่กำหนดไว้ เป็นต้น

  2. การสั่งงานใดๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้จัดการท่านนั้นๆ ให้เจ้าของสั่งงานผ่านผู้จัดการ โดยไม่สั่งงานข้ามหัว อันเป็นการรักษาระบบของสายการบังคับบัญชา

  3. หากผู้จัดการสั่งงานใดๆออกไปยังฝ่ายปฏิบัติงาน หากเจ้าของกิจการไม่เห็นด้วย หรือ ต้องการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ให้คุยกับผู้จัดการถึงเหตุผล ไม่ใช่สั่งเปลี่ยนเอง อันจะทำให้คำสั่งในสายการบังคับบัญชา (Chain of Command) ไม่ถูกทำลาย

  4. กำหนดวงเงินงบประมาณให้ผู้จัดการสามารถอนุมัติได้โดยไม่ต้องรอเจ้าของอนุมัติ หากวงเงินเกินกำหนดให้ผู้จัดการอนุมัติก่อนแล้วส่งต่อเจ้าของอนุมัติอีกขั้นหนึ่ง หากพนักงานระดับปฏิบัติงาน ส่งเอกสารผ่านข้ามหัวผู้จัดการมายังเจ้าของโดยตรง ให้เจ้าของส่งเอกสารกลับไปให้ผ่านการอนุมัติของผู้จัดการก่อนตามลำดับขั้น ทำอย่างนี้ต่อไปพนักงานก็จะรู้ว่า ให้ผู้จัดการอนุมัติตามระเบียบขั้นตอน และเกิดการทำงานเป็นขั้นตอนเกิดขึ้น

  5. การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานระดับปฏิบัติงาน ให้ผู้จัดการมีหน้าที่โดยตรงในการประเมิลผล ก่อนส่งต่อให้เจ้าของ ทำอย่างนี้พนักงานจึงจะยำเกรง และเชื่อฟังคำสั่งผู้จัดการ

  คำแนะนำดังกล่าวข้างต้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆธรรมดา สำหรับผู้ประกอบการหลายคน แต่ทางปฏิบัติ ผมกลับพบว่า เจ้าของกิจการยังผิดพลาดในเรื่องง่ายๆอย่างนี้อยู่เสนอ จึงแนะนำมาเพื่อต้องการเน้นย้ำด้วยหวังให้กิจการของท่านเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อีกทั้ง จะได้ทำให้ผู้บริหารที่ท่านจ้างมาทำการแบ่งเบาภาระงานให้ท่านได้อย่างแท้จริง

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิทยากรฝึกอบรม การสร้างแบรนด์

เป็นวิทยากรฝึกอบรม
เรื่อง การสร้าง Brand และ เรื่อง Teamwork
ที่ Hexa Ceram Dental Lab, Chiang Mai
วันที่ 7 ตุลาคม 2554






วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ภาพการฝึกอบรม ศิลปะการพูดในที่ชุมชนเพื่อการจูงใจ (The Art of Public Speaking)

ภาพบรรยากาศ การฝึกอบรม 
ศิลปะการพูดในที่ชุมชนเพื่อการจูงใจ
(The Art of Public Speaking)
วันเสาร์อาทิตย์ ที่ 24-25 กันยายน 2554
ที่ กรุงเวียงจันทน์ ประเทศ สปป.ลาว













บริการอื่นๆ เช่น ที่ปรึกษา รับเขียนบทความ ตรวจสอบบริการ ตรวจสอบอาคาร ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

M-Training and Consulting 
ให้บริการด้านการฝึกอบรม สัมมนา พัฒนาบุคคล องค์กร และ ที่ปรึกษาธุรกิจ
 

อีกทั้งยังให้บริการด้านอื่นๆ ดังนี้

1. ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ การตลาด การขาย และ การบริหารจัดการโดยใช้คอมพิวเตอร์ IT

2. จัดทำแผนธุรกิจ (Business Plan)

3. ตัวแทนการเจรจาต่อรองทางธุรกิจ (Business Negotiator)

4. รับเขียนบทความด้านธุรกิจ ลงนิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ เว็บบล็อค (Contents Provider)

5. ทนายความ (Attorney at Law) ร่างสัญญา ตรวจสอบสัญญา รับรองลายมือชื่อและเอกสาร ทำพินัยกรรม จดทะเบียนพาณิชย์ เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร และทรัพย์สินทางปัญญา ที่ปรึกษาธุรกิจและการลงทุน

6. ตรวจสอบอาคาร ตาม พรบ.ควบคุมอาคาร (Building Inspection) โดยวิศวกรรับอนุญาต
     ให้บริการในพื้นที่จังหวัด เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง กรุงเทพฯ

7. นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Agent)
      ซื้อ ขาย เช่า บ้าน ที่ดิน คอนโดฯ อพาร์ทเม้น สำนักงาน ในพื้นที่เชียงใหม่ ลำพูน กรุงเทพฯ

ติดต่อ(Contact): โทร(Tel.) 0817168711  email: mingbiz@gmail.com




วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ภาพกิจกรรม Trainer Camp

ภาพกิจกรรม Trainer Camp
16 กันยายน 2554










กิจกรรม ฝึกอบรมวิทยากร (Train the Trainer) ของ สสว

รูปกิจกรรมการฝึกอบรมวิทยากร (Train the Trainer)
ของ สสว ( สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม)
วันที่ 1-2 กันยายน 2554










ฝึกอบรม กิจกรรมการสร้างทีม (Team Building Activities)

กิจกรรมการสร้างทีม
(Team Building Activities)
โดย  มงคล  ตันติสุขุมาล

                การทำงานเป็นทีม เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลงานสูงกว่าการทำงานเพียงลำพังแบบทวีคูณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนในทีมจะต้องมีศิลปะของการทำงานเป็นทีม การทำงานจึงจะสอดประสานกันได้อย่างดีและราบรื่น จนสามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้
บางคนทำงานคนเดียวเก่ง แต่ไม่สามารถทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่นได้ เมื่อต้องร่วมงานกับผู้อื่นก็ไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไร ควรดูแลทีมงานอย่างไร ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายแก่ผู้อื่น โดยที่ตนเองก็อาจไม่รู้ข้อจำกัดนี้ของตนเอง ทำให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นไม่ราบรื่น บางทีมงานมักมีปัญหาขัดแย้งกันเองอยู่เสมอ ไม่รู้หลักการทำงานร่วมกัน ส่งผลให้การงานติดขัด ไม่บรรลุผล ไม่มีความก้าวหน้าการการทำงาน
หลักสูตรการสร้างทีม (Team Building) จึงได้ออกแบบขึ้นเพื่อช่วยพัฒนาให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถพัฒนาทักษะในการทำงานเป็นทีมให้ดีขึ้น เรียนรู้หลักการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ ทัศนคติที่ถูกต้องในการทำงาน การสร้างทีม การจูงใจทีมงาน การทำงานเป็นทีม โดยเน้นการทำกิจกรรมร่วมกันของผู้เข้าร่วมฝึกอบรมในเรื่องการสร้างทีม เพื่อสร้างความมั่นใจในตนเองแก่หัวหน้างาน ผู้ร่วมทีมงาน ผู้ที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้ประสบความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและในชีวิตต่อไป

วัตถุประสงค์
1.             เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ทราบหลักการของการทำงานเป็นทีมที่ดี
2.             เพื่อฝึกฝนทักษะการทำงานเป็นทีมให้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมด้วยกิจกรรมการสร้างทีม
3.             เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้ารับการอบรมในการทำงานเป็นทีม และนำไปใช้ในการปฏิบัติงานจริงอย่างได้ผลดีเลิศ จนบรรลุเป้าหมายของทีมงาน

หัวข้อการฝึกอบรม:
1.             ทัศนคติที่ถูกต้องในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
2.             ความสำคัญของการสื่อสารภายในทีม
3.             การสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพ
4.             การร่วมมือกันทำงาน
5.             ความไว้วางใจในทีม
6.             การจูงใจทีมงาน
7.             หลักการประชุมระดมสมองของทีมงาน
8.             การอ่านภาษากาย
รูปแบบการสัมมนา   การบรรยาย หลักการของการทำงานเป็นทีม และเน้นการฝึกปฏิบัติการทำงานเป็นทีม

วิทยากร
                อาจารย์ มงคล ตันติสุขุมาล MBA, B.Eng., Cert.English
                  วิทยากรฝึกอบรม ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ได้รับรางวัลนักพูดดีเด่นจากสโมสรฝึกพูด
                  มีประสบการณ์ในการทำงานกับคนจำนวนมาก ในบริษัทมหาชน และ บริษัทเอกชน หลายแห่ง
                  ปัจจุบันเป็นวิทยากร และที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนหลายแห่ง
                 
กำหนดเวลาวันแรก
เวลา
หัวข้อ
08.30 09.00
ลงทะเบียน
09.00 – 09.30
แนะนำวิทยากร
09.30 – 10.00
- ผู้เข้าร่วมฝึกอบรม แนะนำตัว +  กิจกรรมเพื่อความคุ้นเคยกัน
10.00 – 10.30
พักดื่มกาแฟและทานของว่าง
10.30 12.00
- ทัศนคติที่ถูกต้องในการทำงานร่วมกับผู้อื่น + กิจกรรม การมองคนในแง่ดี
- ความสำคัญของการสื่อสารในทีม + กิจกรรม การสื่อสารในทีม
12.00 13.30
พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.30 – 15.00
- การสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพ + กิจกรรม  การสร้างทีมทีม
- การร่วมมือกันทำงาน + กิจกรรม การร่วมมือกันทำงาน
- ความไว้วางใจในทีม + กิจกรรม การไว้วางใจทีม
15.00 – 15.30
พักดื่มกาแฟ และทานของว่าง
15.30 – 16.30
- สรุปบทเรียนที่ได้รับจากกิจกรรม











กำหนดการณ์วันที่สอง
เวลา
หัวข้อ
08.30 09.00
ลงทะเบียน
09.00 – 09.30
การบริหารเตรียมความพร้อม
09.30 – 10.00
- การจูงใจทีมงาน + กิจกรรม การจูงใจทีมงาน
10.00 – 10.30
พักดื่มกาแฟและทานของว่าง
10.30 12.00
- หลักการประชุมระดมสมองของทีมงาน + กิจกรรม ประชุมระดมสมอง
12.00 13.30
พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.30 – 15.00
- การอ่านภาษากาย + กิจกรรม การอ่านภาษากาย
15.15 – 15.30
พักดื่มกาแฟ และทานของว่าง
15.30 – 16.00
- สรุป ความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมและทำกิจกรรม
16.00 – 16.30
ประเมินผล และถ่ายภาพร่วมกัน
หมายเหตุ: กำหนดเวลาอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม เพื่อประโยชน์ของผู้เข้าร่วมฝึกอบรม

ติดต่อ โทร 0817168711  email : mingbiz@gmail.com

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

บรรยายเรื่องการเจรจาต่อรองทางธุรกิจ ที่ DENSO (Thailand)

บรรยาย เรื่อง 

การเจรจาต่อรองทางธุรกิจ (Business Negotiation)

ที่บริษัท DENSO (Thailand)
ตั้งอยู่ใน นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร (AMATA Industrial Estates)
เมื่อวันที 8 กันยายน 2554

 






วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การประกอบธุรกิจด้วยแนวคิด CFCI (Choose, Focus, Continuous, Improvement)

แนวคิดในการประกอบธุรกิจ แบบ CFCI 
(Choose-Focus-Continuous-Improvement)

ผู้เขียน : มงคล ตันติสุขุมาล 

ปัจจุบันมีนักธุรกิจ SMEs เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกและทำธุรกิจอย่างไรจึงจะดี  

เนื้อหาในตอนนี้ผมต้องการเสนอแนวคิดในการประกอบธุรกิจแบบ CFCI ได้แก่

C : CHOOSE

การเลือกธุรกิจ สำหรับผู้ต้องการประกอบธุรกิจพึงระลึกไว้เสมอว่า เวลาในชีวิตของแต่ละคนนั้นมีจำกัด เงินทุนนั้นก็มีจำกัด ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนธุรกิจได้แบบไม่จำกัด ดังนั้น การเลือกธุรกิจที่ตนเองจะทำนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก จึงอยากแนะนำการเลือกธุรกิจไว้โดยหลักต่อไปนี้

        1. love ใจรัก
            สิ่งที่ควรทำประกอบการเลือกคือ ให้เขียนกิจกรรมที่ใจท่านรักที่จะทำทั้งหมดออกมาเท่าที่มี เช่น ชอบสังคม หรือ ชอบอยู่คนเดียว ชอบทำงานศิลปะ ชอบเรียนรู้เทคโนโลยี ชอบอ่าน ชอบเขียน ชอบสอน รักเด็ก ชอบตีก๊อฟ ชอบสังสรร ชอบทำอาหาร ชอบท่องเีที่ยว ฯลฯ เป็นต้น
             จากนั้นก็ลำดับจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด เพื่อให้ความสำคัญกับการพิจารณากิจกรรมชอบมากที่สุดก่อน ที่ผมแนะนำอย่างนี้เนื่องจาก หากเป็นกิจกรรมที่ท่านชอบ ท่านจะทำอย่างมีความสุข แม้ว่าในช่วงเริ่มต้นมันอาจจะยังไม่สามารถทำเงินทำทองให้ท่านได้มากนักก็ตาม แต่ด้วยความรักความชอบจะทำให้ท่านไม่หยุดทำ ทำอย่างต่อเนื่อง ทักษะฝีีมีก็จะพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ จนถึงจุดหนึ่งที่ดีเพียงพอที่จะทำเป็นธุรกิจที่มีจุดเด่นแตกต่างจากผู้อื่นได้ จนนำไปสู่การทำเงินให้ท่านได้ในที่สุด
              แต่หากท่านเริ่มต้นจากการทำธุรกิจตามอย่างผู้อื่นโดยไม่ชอบ อยากทำบ้าง ไม่อยากทำบ้าง (ส่วนใหญ่มักไม่อยากทำสิ่งที่ตนเองไม่รัก) ทำให้ขาดความใส่ใจ ขาดความประณีต ขาดการพัฒนาทักษะ เมื่อพบปัญหาก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายไ่ม่อยากใส่ใจ ทำให้ธุรกิจไปไปรอดในที่สุด
              หลังจากเลือกกิจกรรมที่ชอบมาก่อนแล้ว ต้องคิดต่อว่ากิจกรรมนั้นๆ สามารถกลายเป็นธุรกิจอะไรได้บ้าง เช่น
              ชอบทำอาหาร = ธุรกิจร้านอาหาร, เขียนตำราทำอาหาร, เป็นนักโภชนาการ,เป็นนักชิมอาหาร
              ชอบตีก๊อฟ = นักก๊อฟอาชีพ, โปรสอนก๊อฟ, ร้านขายอุปกรณ์ก๊อฟ, ทำสนามก๊อฟ
              ชอบเลี้ยงเด็ก = สถานรับเลี้ยงเด็ก, โรงเรียนสอนพิเศษเด็ก, นักกิจกรรมสำหรับเด็ก, ค่ายเยาวชน
           
         2. Potential ศักยภาพ
             สิ่งที่ควรพิจารณาต่อมาคือ
              - ศักยภาพส่วนตัวว่า มีศักยภาพทางสติปัญญา ร่างกาย จิตใจ การเงิน เพียงพอที่จะทำธุรกิจที่เกิดจากกิจกรรมที่ชอบหรือไม่ หากยังไม่พอจะได้ไปศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝนเพิ่มเติม หาผู้ร่วมหุ้น หาผู้เชี่ยวชาญมาช่วย เป็นต้น บางธุรกิจท่านมีใจรักมาก แต่ต้องลงทุนสูง หากท่านไม่มีศักยภาพทางการเงินที่มากพอก็ทำไม่ได้ จำเป็นต้องลดขนาดธุรกิจลง หรือ เลือกธุรกิจอื่นๆแทน
              - ศักยภาพทางธุรกิจ ของธุรกิจที่เลือกก็สำคัญ โดยต้องพิจารณาว่า สิ่งที่เลือกนั้น มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจมากน้อยเพียงใด เพราะหากเป็นไปได้น้อย หรือ มีการแข่งขันสูง จะได้เลือกธุรกิจอื่นๆแทน แม้อาจจะชอบน้อยกว่า แต่มีศักยภาพทางธุรกิจสูง ก็น่าทำมากกว่า

         3. Ability ความสามารถ
             ในที่นี้หมายถึงความสามารถของตนเอง ของหุ้นส่วนธุรกิจ และ ทีมงาน การแปลงศักยภาพที่มีอยู่ให้ออกมาเป็นความสามารถในทางปฏิบัติ เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เช่น ท่านอาจมีศักยภาพในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้สูง ท่านก็ต้องแปลงศักยภาพให้เป็นความสามารถในการชงกาแฟแบบต่างๆ ในธุรกิจกาแฟ หรือ แปลงเป็นความสามารถในการสอน หากเป็นโรงเรียนกวดวิชา เป็นต้น
           
         4. Study การศึกษาเรียนรู้
             ถึงแม้ว่าท่านจะมีความสามารถเพียงพอที่จะเริ่มต้นธุรกิจที่ท่านเลือกได้ ท่านก็ยังต้องไปเรียนรู้เรื่องราวของธุรกิจนั้นๆอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เทคนิคเฉพาะ การตกแต่ง กลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง และ จุดเด่นจุดด้อยของตนเอง และของคู่แข่ง เป็นต้น

         5. Rick ความเสี่ยง
             ในการประกอบธุรกิจ ย่อมมีความเสี่ยง จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ มีคำกล่าวกันเสนอในวงการธุรกิจว่า "High Risk...High Return" หรือ "ความเสี่ยงสูง...ผลตอบแทนก็สูง" และแน่นอนว่า หากผิดพลาด "ความสูญเสีย ความเสียหาย" ก็สูงเช่นเดียวกัน

F : FOCUS

การจดจ่อ ใส่ใจ กับธุรกิจที่ได้เลือกไว้อย่างรอบคอบในข้อ Choose แล้ว ก็ต้องได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษในทุกรายละเอียดของการทำงาน
ผมเคยพบนักธุรกิจหลายราย ที่เมื่อเริ่มต้นธุรกิจก็อยากรีบสุขสบาย โดยการไม่ใส่ใจดูแลร้าน ปล่อยให้พนักงานดูกันเอง แน่นอนเปิดได้ไม่นานก็ขาดทุนมากมายจนต้องปิดไปในที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าของกิจการไม่ใส่ใจในการดูแลธุรกิจของตนเองนั่นเอง
ในการทำธุรกิจ เจ้าของกิจการต้องใส่ใจดูแลธุรกิจด้วยตนเองก่อน ไม่มีใครจะรักธุรกิจของคุณเท่าคุณเอง  การใส่ใจนั้นประกอบด้วย

   1. Plan การวางแผนธุรกิจ
       ธุรกิจจำเป็นต้องมีการวางแผนธุรกิจ อันประกอบด้วย แผนการเงิน การจัดการภายใน การตลาด การบริหารบุคลากร ฯลฯ นักธุรกิจต้องมีการเขียนแผนธุรกิจออกมาให้เป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ในการเป็นภาพชัดเจน และ สื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าใจได้

   2. Implement ดำิเนินการ
       การนำแผนธูรกิจที่ได้เขียนไว้ ไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่่องที่ยากขึ้นไปอีก เพราะท่านจะพบกับปัญหาอุปสรรค์ต่างๆที่อาจคาดไม่ถึงมากก่อน นักธุรกิจหลายคนยอมแพ้และออกจากธุรกิจไปในขั้นตอนนี้มากมาย เพราะดำเนินการไม่สำเร็จ ก็หมดเงินทุน หรือ หมดกำลังใจไปเสียก่อน นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมแนะนำให้เลือกทำธุรกิจที่ใจรักก่อน เพราะท่านจะทนได้นานกว่า

    3. Evaluate ประเมินผล
        นักธุรกิจจำเป็นต้องมีการประเมินผลของการดำเนินการตามแผน ว่าเข้าเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ มีอะไรที่ต้องแก้ไขปรับปรุง หรือ เปลี่ยนแปลงบ้าง
        การประเมินผลเป็นระยะๆอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้สามารถแก้ไขได้ทันเวลา หากการดำเนินการมีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หรือเริ่มออกนอกทางที่วางไว้

     4. Adjust ปรับปรุง
         เมื่อประเมินผลดูแล้วว่าอะไรไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ หรือ มีปัญหาอะไรบ้าง ก็ต้องทำการปรับปรุงแก้ไข แล้วดำเนินการต่อ เพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ เจ้าธุรกิจจึงเป็นเสมือนผู้ถือพวงมาลัยรถยนต์ ทำหน้าที่บังคับให้รถยนต์ไปตามเส้นทาง โดยไม่ชนสิ่งกีดขวาง หากเริ่มเขวออกนอกเส้นทางก็ต้องรีบบังคับกลับมาให้อยู่ในลู่ในทาง

C : CONTINUOUS

ความต่อเนื่องในการทำงาน เป็นอีกประเด็นที่สำคัญมาก นักธุรกิจหลายคนพอเริ่มทำธุรกิจไปสักพักใหญ่ๆก็เริ่มเบื่อหน่ายกิจกรรมประจำวันทางธุรกิจ เริ่มหันเหความสนใจไปสู่เรื่องอื่นๆแทน เหมือนกับการขับรถใจลอย ทำให้หลงทาง หรือเกิดอุบัติเหตุได้
นักธุรกิจที่ขาดความต่อเนื่องในการดูแลกิจกรรมทางธุรกิจก็เช่นเดียวกัน มักจะทำให้ธุรกิจที่ทำเริ่มเกิดปัญหาตามมาโดยเฉพาะปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่พอนานวันเข้า ก็เกิดความเสียหายใหญ่ได้ เสมือนกับการพบรูสนิมเล็กๆบนผิวโลหะ หากไม่สนใจ มันก็จะกินลุกลามไปลึกและกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
การกำกับดูแลธุรกิจก็เช่นกัน ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน จนระบบเข้าที่เข้าทาง มีบุคลากรที่สามารถเข้าใจและดูแลแทนได้เหมือนกับเจ้าของกิจการแล้ว เจ้าของจึงจะพักได้บ้าง แต่ก็ยังต้องดูผลประกอบการเป็นระยะๆอยู่อย่างต่อเนื่อง หากผลประกอบการเริ่มผิดปกติ ก็ต้องกลับไปดูรายละเอียดให้ใกล้ชิดขึ้น
          ความต่อเนื่องที่ผมว่านั้นหมายความรวมถึง
          - Everyday ทุกๆวัน
             ท่านควรต้องกำกับดูแลธุรกิจเป็นประจำทุกๆวัน เพื่อติดตามดูว่าในวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง และ ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง อะไรที่ไปได้ดีแล้วบ้าง
          - Step by Step ทีละขั้นทีละตอน
             ความต่อเนื่องนั้นควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น อย่าเป็นไปแบบกระทันหันเกินไป เพราะอาจมีปัญหาในการปรับตัวของพนักงาน หรือ หุ้นส่วนธุรกิจได้ อีกทั้งต้องไม่ทำๆหยุดๆ หรือ ตื่นเต้นก็ทำต่อเนื่องอยู่พักใหญ่ พอหายตื่นเต้นก็หยุดซะงั้น หากเป็นแบบนี้ ธุรกิจของท่านก็จะโตๆหยุดๆ เช่นกัน

I : IMPROVEMENT

พัฒนาให้ดีขึ้น ในทุกๆทาง เพราะธุรกิจต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ คุณภาพสินค้า และบริการ ความรู้ของบุคลากร การประสานงานภายใน การติดต่อกับลูกค้า เทคโนโลยีที่ใช้  เป็นต้น
หากธุรกิจได้รับการพัฒนาเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จะทำให้คู่แข่งตามท่านไม่ทัน ท่านก็จะได้ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น มีกำไรเพิ่มขึ้น และ ธุรกิจอยู่ได้อย่างยาวนาน
บางธุรกิจที่เริ่มต้นมีคู่แข่งน้อยราย มักทำให้เจ้าของกิจการชล่าใจไม่ค่อยใส่ใจพัฒนาธุรกิจ เพราะคิดว่าเท่าที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ไม่มีใครแข่งได้ ครั้นพอเวลาผ่านไป ยุคสมัยเปลี่ยนไป มีคู่แข่งเกิดขึ้นโดยคู่แข่งทำได้ดีกว่า ในราคาที่สมเหตุสมผลกว่า ธุรกิจเดิมที่ขาดการพัฒนาก็จะถูกแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปเรื่อยๆ จนต้องออกจากธุรกิจไปในที่สุด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ธุรกิจร้านค้าปลีกยุคเก่า เมื่อถูกร้าค้าปลีกแบบแฟรนไชน์ มาแข่งก็ทำให้ร้านขายของชำยุคเก่าต้องล้มหายตายจากไปในที่สุด

       การพัฒนา มีหลักการที่สำคัญ คือ

       1. Better ทำให้ดีขึ้นกว่าเิดิม  หมายความว่า การพัฒนาต้องทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่เหมือนเดิมแต่เปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนเพียงผิวเผิน การเปลี่ยนควรมีนัยสำคัญเพียงพอที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจได้ จึงจะดี
       2. Study More มีการศึกษาเพิ่มเติม เจ้าของธุรกิจควรที่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมในความรู้ที่อาจมาช่วยสนับสนุนธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ให้ได้รับการพัฒนามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเชิงกลยุทธ์ธุรกิจ หรือ เชิงปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
      3. See More การดูงานเพิ่มเติม คือ การรู้จักเดินทางไปต่างถิ่นเพื่่อดูกิจการประเภทเดียวกัน คล้ายกัน หรือเกี่ยวเนื่องกัน ของผู้อื่นเป็นระยะๆ เพื่อได้เรียนรู้จากของจริงว่าผู้อื่นทำอย่างไร เพื่อนำมาประยุกต์ใช้งานกับธุรกิจของตนเอง จะได้ไม่ต้องลองผิดลองถูกเองมากจนเกินไป

จากแนวคิด CFCI ที่กล่าวมาข้างต้น คงพอเป็นแนวทางให้นักธุรกิจหลายท่านได้ใช้ประกอบการพิจารณาเลือกธุรกิจและดำเนินธุรกิจให้ก้าวหน้าต่อไป


วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ภาพการฝึกอบรม การทำงานเป็นทีม และ การจัดการความขัดแย้ง (Teamwork and Conflict Management)

ภาพการฝึกอบรม การทำงานเป็นทีม และ การจัดการความขัดแย้ง
(Teamwork and Conflict Management)

ที่กรุงเวียงจันทน์ ประเทศ สปป.ลาว
วันที่ 30-31 กรกฎาคม 2554

มีผู้สนใจเข้าร่วมการฝึกอบรมเป็นจำนวนมาก
เป็นผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร จากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และ ผู้สนใจทั่วไป

 






 



วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลักสูตรที่ให้การฝึกอบรม และ ปรึกษาธุรกิจ

M training

ให้การฝึกอบรมบุคคล และองค์กร ในหัวข้อต่างๆ ดังนี้
(Training Services)

เกี่ยวกับธุรกิจ การเจรจาต่อรอง การตลาด การขาย ได้แก่
 -  การเจรจาต่อรองทางธุรกิจ (Business Negotiation)
 -  การเจรจาต่อรองทางธุรกิจเชิงลึก (Advanced Business Negotiation)
 -  กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ (Modern Marketing Strategies)
 -  การจัดทำแผนธุรกิจ (Effective Business Plan)
 -  พื้นฐานธุรกิจ (Basic Business Concept)
 -  ศิลปะการขาย (Art of Selling)
 -  การสร้างแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จในการขาย (Motivation for Sales)
 -  การทำงานเป็นทีม และ การจัดการความขัดแย้ง
        (Teamwork and Conflict Management)
 -  การพัฒนาศักยภาพสู่ความสำเร็จ โดยใช้ความคิดเชิงบวก
         (Develop Maximum Potential with Positive Thinking)
 -  จิตภาษา (NLP: Neuro Linguistic Programming)
 
เกี่ยวกับศิลปะการพูด การนำเสนอ และ บุคลิกภาพ ได้แก่ 
 -  ศิลปะการพูดในที่ชุมชน (The Art of Public Speaking)
 -  การเป็นวิทยากร (Train the Trainer)
 -  เทคนิคการนำเสนอแบบมืออาชีพ (Professional Presentation Technique)
 -  การพูดจูงใจสำหรับผู้นำ (Convincing Techniques for Leadership)
 -  บุคลิกภาพที่ดีสู่บริการที่น่าประทับใจ (Good Personality and Services)

เกี่ยวกับกฎหมาย ได้แก่ 
 -  กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA: Personal Data Protection Acts)
 -  กฎหมายคอมพิวเตอร์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Computer and Ecommerce Law)
 -  กฎหมายลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา (Copy Right and Intellectual Property Law)


 ติดต่อวิทยากร ที่ LineOA= @zru5884r
.
* หมายเหตุ
   กรุณานัดหมายวิทยากร โดยติดต่อล่วงหน้าประมาณ 7 - 10 วันขึ้นไป ก่อนวันฝึกอบรม 

=========================================================
ประเภทของการฝึกอบรม

Public Training
     ให้การฝึกอบรมแก่ผู้สนใจทั่วไปจากหลากหลายองค์กร จัดเป็นระยะๆ ตามกำหนดการ 
โดยบริษัทฝึกอบรมต่างๆ

Inhouse Training / Corporate Training
     ให้การฝึกอบรม ที่บริษัท หรือ องค์กร ของท่านเป็นกลุ่ม สามารถไปทั่วประเทศไทย

Personal Training or Small Group Training or Online Training **
     สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกอบรมส่วนตัว หรือ กลุ่มเล็ก หรือ อบรมผ่านสื่อออนไลน์ 
  , วิทยากร, วิทยากรฝึกอบรม, ฝึก
***********************************************************************

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การสร้างนิสัยรักการอ่าน

บุคคลสำคัญในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต และ การงาน แทบทุกคน ให้ความสำคัญกับ "การอ่าน" เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ แต่คนทั่วไปส่วนใหญ่ ไม่ชอบการอ่าน และ อ่านหนังสือกันน้อยมาก

อยากแนะนำว่า "โอกาส" และ "ทางแก้ปัญหา" หลายๆอย่างนั้น ได้มาจากการอ่านทั้งสิ้น ดังนั้น จึงควรมาพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรจึงจะสร้างนิสัย "รักการอ่าน" ให้เหมือนกับนิสัย "รักการเที่ยว" "รักการกิน" หรือ "รักกีฬา"

เทคนิคการสร้างนิสัยรักการอ่าน ขอแนะนำเป็นข้อๆไป ดังนี้


1. เริ่มจากการหาหนัวสือ วารสาร นิตยสาร สิ่งพิมพ์ ในประเภทที่ตนเองชอบ หรือ สนใจมาเป็นตัวเริ่มต้น เช่น นิตยสารดารา นวนิยายเด็ก หนังสือพิมพ์ วารสารท่องเที่ยว นิตยสารกีฬา เป็นต้น รวมถึงเว็บไซต์ข้อมูลหรือบทความต่างๆที่มีเนื้อหาที่ตนสนใจ เพราะหากเราเริ่มจากสิ่งที่ตนเองรักชอบเป็นพิเศษ จะทำให้อยากอ่าน และทนอ่านได้นาน

2. เมื่อเริ่มต้นฝึกนิสัยการอ่าน จะพบว่าตนเองอ่านได้ไม่เร็วนัก เนื่องจากขาดการฝึกฝนมานาน บางคนอ่านย้อนไปย้อนมา หรือ อ่านเป็นคำๆ ทำให้อ่านได้ช้า แต่เมื่ออ่านสิ่งที่ตนสนใจบ่อยๆ ก็จะทำให้สามารถอ่านได้คล่องขึ้นและเร็วขึ้น ทักษะด้านการอ่านเร็วนั้น ต้องค่อยๆพัฒนาจากการอ่าบ่อยๆ โดยฝึกตนเองให้อ่านทีละประโยค ไม่ใช่ทีละคำ และอ่านรวดเดียวจนจบย่อหน้า อย่าอ่านย้อนประโยคไปมา เมื่ออ่านจบย่อหน้าหากไม่เข้าใจค่อยย้อนมาอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นย่อหน้ารวดเดียวจนจบซ้ำอีกครั้ง จึงจะได้ความคิดรวบยอดของย่อหน้านั้น

3. เมื่ออ่านหนังสือประเภทที่ตนชอบจนเริ่มคล่องแล้ว ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักชอบอ่านหนังสือแนวบันเทิง ก็ขยับขยายมาเป็นหนังสือแนวอื่นที่อาจเป็นแนวสาระมากขึ้น แต่ยังเป็นสาระที่ตนเองสนใจเป็นการส่วนตัวอยู่ เช่น คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี การเงินส่วนบุคคล จิตวิทยาการพัฒนาตนเอง เป็นต้น เพราะหนังสือแนวนี้จะช่วยพัฒนาความรู้ความคิดให้แก่ผู้อ่านได้มาก

4. ค่อยๆอ่านวันละเล็กละน้อยก่อนนอน เช่น อ่านเป็นเวลา 15 -30 นาที ก่อนนอนทุกคืน จนติดเป็นนิสัย เหมือนการแปรงฟันอาบน้ำก่อนนอน คือ ต้องอ่านหนังสือก่อนนอนมิฉะนั้น จะรูสึกว่าลืมทำอะไรไปสักอย่าง แสดงว่าท่านเริ่มติดการอ่านแล้ว

5. พัฒนานิสัยรักการอ่านมาสู่จุดที่ มีหนังสือติดตัว ติดรถ หรือ ติดกระเป๋า ไว้ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่มีเวลาว่า หรือ กำลังนั่งรออะไรก็ตาม ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทุกครั้งไป เป็นการฆ่าเวลา และได้ความรู้ไปด้วย ทำให้ไม่ต้องห่วงว่า ไม่ว่าง ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เหมือนกับข้ออ้างของคนส่วนใหญ่ เพราะคุณสามารถอ่านได้ทุกช่วงเวลาสั้นๆที่มี

6. หลังจากได้อ่านหนังสือที่ตนเองสนใจเป็นหลักได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ลองอ่านหนังสือแนวอื่น เพื่อขยายขอบเขตความรู้ของตนเองให้กว้างขวางยิ่งๆขึ้นไป เช่น หากชอบอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา ก็ลองอ่านหนังสือแนวบริหารการเงินดูบ้าง หรือหนังสือการดูแลสุขภาพ เทคโนโลยี เป็นต้น

7. ทุกครั้งที่อ่านหนังสือจบ ควรต้องทบทวนดูสารบัญ อีกรอบเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดว่า โดยรวมแล้ว หนังสือเล่มนั้นพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง และ ที่สำคัญที่สุดคือ มีประเด็นใดบ้างที่เราได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนั้นจากที่ไม่เคยรู้มาก่อน หรือ ไม่เคยให้ความสำคัญกับประเด็นนั้นมาก่อน และ จะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร เอาซัก 1-2 เรื่องก่อนก็เพียงพอแล้ว เพราะบางแนวคิดในหนังสือดีๆ เพียง 1-2 เรื่องก็อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้อ่านบางคนไปได้ตลอดไปเลยทีเดียว อีกทั้งความรู้สึก "ปิติ" มีความสุขที่ได้ "รู้" หรือ เกิด "ปัญญา" ขึ้นจากการอ่าน อีกทั้งยังนำไปปฏิบัติให้เกิดผลได้ในเรื่องใหม่ๆ ก็จะยิ่งทำให้มีแรงบัลดาลใจให้อยากอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนติดนิสัย "รักการอ่าน" ในที่สุด

8. ทดลองนำความรู้ที่ได้รับจากหนังสือ ไปปฏิบัติดูในชีวิตประจำวัน เช่น หากอ่านเทคนิคการทำกับข้าว ก็ลองนำบางเมนูอาหารไปทำจริงๆดู หากอ่านเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร ก็ลองนำไปทำกับคอมพิวเตอร์จริงๆ หากอ่านเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคล ก็นำไปใช้บริหารการเงินของตนเองจริงๆ หากอ่านเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ก็ลองหาโอกาสไปเที่ยวสถานที่นั้นๆดู หากอ่านเกี่ยวกับการนังสมาธิ ก็นำไปฝึกนั่งสมาธิเอง หากอ่านเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ก็เริ่มออกกำลังกายตามคำแนะนำในหนังสือดู เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการนำความรู้ไปปฏิบัติจริง จะทำให้ท่านรู้สึกสนุกกับการอ่านมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วได้นำไปใช้จริง

9. เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้นในชีวิต ให้เริ่มต้นจากการเข้าร้านหนังสือ เข้าห้องสมุด หรือ เข้าอินเตอร์เน็ต ค้นหาดูซิว่ามีใครเคยเขียนเกี่ยวกับปัญหาเดียวกับที่เรากำลังพบเจอมาก่อนหรือไม่ หากพบก็ "อ่าน" มันซะ เพื่อดูว่าเขามีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร จัดการกับปัญหาให้ลุล่วงได้อย่างไร เพื่อเราจะได้นำไปประยุกต์ใช้บ้าง และ ในหลายๆครั้ง ท่านจะพบว่า ปัญหาเกือบทุกปัญหา ที่คนทั่วไปพบอยู่นั้น เคยมีคนอื่นพบเจอแบบเดียวกันมาแล้ว และเขาหาทางแก้ไขปัญหาได้แล้ว อีกทั้งยังได้เขียนวิธีแก้ปัญหาเอาไว้แล้ว เพียงแต่เรายอมค้นคว้าหา "อ่าน" แค่นั้นเอง ปัญหาที่เผชิญอยู่ก็จะถูกแก้ไปได้อย่างง่ายดาย โดยอาศัยภูมิปัญญาของผู้อื่น ทำให้ไม่ต้องลองผิดลองถูกเองมากเกินไป หรือ มัวแต่มานั่งกลุ้มใจกับปัญหาที่ตนเองแก้ไขไม่ตก แต่คนอื่นแก้ตกไปนานแล้ว อีกต่อไป

เขียนบทความ โดย มงคล ตันติสุขุมาล