วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การบริหารการเงินธุรกิจ

ผู้เขียน: มงคล ตันติสุขุมาล 
วิทยากรฝึกอบรม ติดต่อ โทร 0817168711 email: mingbiz@gmail.com

      เมื่อรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร และแน่ใจว่าสินค้าหรือบริการของตนจะขายได้ เรื่องที่สำคัญก็คือเรื่องของการเงิน รู้ว่าขายได้แน่ แต่ไม่มีเงินลงทุนเพื่อซื้อหรือผลิตสินค้ามาขาย ก็ไม่มีธุรกิจเกิดขึ้น ดังนั้น การเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญของทุกธุรกิจ หากธุรกิจใดต้องใช้เงินลงทุนมากก็มีความเสี่ยงมากตามไปด้วย เพราะหากลงทุนมากกว่าจะคืนทุนก็ใช้เวลานานขึ้น


เรื่องการเงินธุรกิจนั้นมีเรื่องราวที่เขียนไว้ในหนังสือต่างๆมากมาย แต่สิ่งที่ผมจะกล่าวในที่นี้ คือ การควบคุมเรื่องการเงินสำหรับธุรกิจ SME เป็นหลัก เพราะธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายส่วนใหญ่จะมีมืออาชีพด้านการเงินเป็นที่ปรึกษาหรือดูแลอยู่แล้ว ธุรกิจที่ไม่มีใครปรึกษาและมักผิดพลาดเรื่องการเงินคือธุรกิจ SME นี่แหละ

การบริหารการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของทุกธุรกิจ เนื่องจากหากเจ้าของหรือผู้บริหาร บริหารการเงินธุรกิจไม่เป็นอาจทำให้ธุรกิจต้องมีอันเป็นไปทั้งๆที่สินค้ายังขายดี ลูกค้ายังมีอยู่

การบริหารการเงินธุรกิจ ก็คือ การบริหารเงินเข้า กับการบริหารเงินออกนั่นเอง ทำอย่างไรให้เงินเข้าเร็ว+เข้ามาก และ ทำให้เงินออกช้า+ออกน้อย นั่นเอง แต่หลักการกว้างๆนี้ มีรายละเอียดมากนะครับ


ข้อควรระวังในการใช้เงินทุนในการประกอบธุรกิจ คือ

1. ไม่ควรใช้เงินลงทุนจากเงินกู้เป็นส่วนใหญ่ เพราะจะมีความเสี่ยงสูง แต่ภาระในการชำระดอกเบี้ย ไม่ว่าธุรกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม

2. ไม่ควรใช้หลักทรัพย์สุดท้ายของครอบครัว ไปค้ำประกันเงินกู้ เช่น บ้านที่ตนเองอาศัยอยู่ หรือ บ้านของพ่อแม่ เพราะหากธุรกิจไม่เป็นไปดังหวัง อาจโดนยึดบ้านทำให้ครอบครัวไม่มีที่อยู่อาศัย เว้นแต่มีที่ดินหลายแปลง หรือบ้านหลายหลัง

3. ควรเริ่มต้นจากเล็กไปหาใหญ่ คือ ทำโครงการทดลองโดยใช้ทุนต่ำก่อน เมื่อมีทางเป็นไปได้จึงค่อยขยายการลงทุน อย่าเริ่มต้นจากการทุ่มเงินทุนทั้งหมดไปในกิจการที่ได้แต่เพียงคาดคะเนเอาเอง เพราะอาจสูญเงินทั้งหมดได้

4. จำไว้ว่าทุกโครงการธุรกิจอาจมีการบานปลายในเรื่องงบลงทุนได้ จึงควรเผื่องบลงทุนไว้เสมอ

5. ต้องมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีแผนการใช้เงินทุน และแผนกระแสเงินสดเข้าออก อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นแนวทาง

6. อย่าใช้เงินทุนเกือบทั้งหมดไปกับค่าสถานที่ ค่าตกแต่ง ซื้อของเข้าร้าน ควรสำรองเงินไว้สำหรับเรื่องอื่นๆด้วย

7. ไม่จ้างพนักงานจำนวนมากๆในตอนเริ่มต้นธุรกิจ

8. กันเงินทุนไว้เป็นงบประมาณด้านการตลาดเสมอ โดยเฉพาะตอนเริ่มต้นธุรกิจ จะใช้งบการตลาดมาก

9. ต้องแยกกันอย่างชัดเจนระหว่าง เงินหมุนเวียนในธุรกิจ กับเงินใช้สอยส่วนตัว อย่าปะปนกันเด็ดขาด

10. ควรให้ความสำคัญกับการวิจัยตลาดเสมอ ก่อนจะเริ่มสินค้าหรือบริการใดๆ

11. มองหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ สำรองไว้เสมอ


เรื่องเงินเข้า หรือรายรับ


1. รายได้จากการขายสินค้า หรือ บริการ เป็นแหล่งกระแสเงินเข้าสู่ธุรกิจกระแสหลัก ซึ่งต้องบริหารให้ดีบริหารให้เป็น หากเป็นธุรกิจเงินสดจะดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้ ให้เครดิตให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เลือกตรวจสอบประวัติลูกค้าให้ดีก่อนจะปล่อยเครดิตให้ มิฉะนั้นอาจถูกเบี้ยวหนี้ได้ ระยะเวลาการปล่อยเครดิตก็สำคัญ จะ 30 วัน 45 วัน 60 วัน หรือ 90 วัน ก็แล้วแต่ ทางที่ดีที่สุดคือ ระยะเวลาสั้นที่สุด อย่ายาว ยิ่งยาวยิ่งเสี่ยง ควรมีการจูงใจด้วยการกำหนดว่า หากชำระเงินสดลดให้พิเศษอีกกี่เปอร์เซ็นต์ จะทำให้ลูกค้าบางรายอยากจ่ายเงินสด อันจะเป็นผลดีต่อสภาพคล่องของธุรกิจ


2. รายได้จากการลงทุนอื่นๆ เป็นแหล่งรายได้เข้าสู่ธุรกิจที่นอกเหนือจากการค้าขายปกติ คือการนำเงินสดส่วนเกินไปลงทุน เช่น ฝากประจำ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อหุ้น ซื้อที่ดิน เป็นต้น ซึ่งเป็นการนำเงินส่วนเกินไปลงทุนให้เกิดประโยชน์อีกทางหนึ่ง ซึ่งหากธุรกิจของคุณไม่ใช่สถาบันการเงิน กิจกรรมด้านการลงทุนอื่นๆนอกเหนือจากการทำธุรกิจก็จะเป็นรายได้ส่วนเพิ่ม ไม่ใช่รายได้หลัก แต่หากบริหารให้ดีก็ได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว การลงทุนที่ดีควรเป็นการลงทุนที่ส่งเสริมกิจกรรมที่ทำอยู่ได้ เช่น หากคุณมีกิจการรับเหมาก่อสร้างขนาดเล็ก คุณอาจลงทุนซื้อหุ้นในกิจการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อจะได้รู้แนวโน้มธุรกิจ แผนธุรกิจ ของธุรกิจรับเหมาขนาดใหญ่ และข้อมูลเพิ่มเติมในวงการ ซึ่งเขาจะส่งให้เฉพาะผู้ถือหุ้นเท่านั้น


เรื่องเงินออก หรือ รายจ่าย

1. รายจ่ายค่าสินค้า หรือวัตถุดิบ

ค่าสินค้าหรือวัตถุดิบ เป็นรายจ่ายที่ค่อนข้างมากในธุรกิจ และเป็นรายจ่ายที่จำเป็น หากควบคุมได้ดี ประหยัดได้ 1 บาท ก็เหมือนมีกำไรเพิ่มขึ้น 1 บาท โลกทุกวันนี้เป็นโลกของข่าวสารข้อมูล การซื้อวัตถุดิบหลายอย่างไม่จำเป็นต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป ผู้ซื้อสามาถค้นหาข้อมูลของผู้ผลิตจากอินเตอร์เน็ตได้โดยตรง ทำให้ได้ของดีราคาถูกลง แต่เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ตเป็นและขยันซอกแซกหาข้อมูลสักหน่อย คุณจะได้ไม่ถูกฝ่ายจัดซื้อหลอก โดยซื้อจากเจ้าประจำไม่กี่ราย แล้วซื้อราคาสูงอีกต่างหาก หากเจ้าของขยันหาข้อมูลซักหน่อย ย่อมจะมีโอกาสได้แหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ ในราคาที่ดี

ข้อแนะนำที่สำคัญในเรื่องนี้คือ อย่าซื้อวัตถุดิบ จากซัพพลายเออร์ หรือ ผู้ป้อนวัตถุดิบ เพียงจ้าวเดียวอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะวัตถุดิบรายการสำคัญ มีธุรกิจมากมายต้องเจ็บปวดกับเรื่องนี้ เพราะเมื่อธุรกิจเอาชีวิตไปผู้ติดกับซับพลายเออร์เพียงรายเดียว เมื่อสินค้าส่งช้า หรือ คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ก็จะส่งผลกระทบต่อการผลิตอย่างมาก เพราะกว่าจะหาจ้าวใหม่ได้ กว่าจะตกลงเรื่องระยะเวลาการจัดส่ง เรื่องการชำระเงิน ฯลฯ ก็เกิดความเสียหาย เสียคำสั่งซื้อเพราะผลิตสินค้าส่งไม่ทัน เสียโอกาสการขาย เสียค่าโสหุ้ย ค่าจ้างพนักงานสูญเปล่า และเสียเวลา ไปมากมาย แนะนำให้กำหนดเป็นนโยบายไว้เลยว่า กิจการของคุณจะซื้อวัตถุดิบสำคัญจากผู้จัดส่งวัตถุดิบ 2 จ้าวขึ้นไปเสมอ เว้นแต่ยังหาไม่ได้ ในระหว่างนั้นก็จะแสวงหาผู้ขายวัตถุดิบรายใหม่ๆอยู่เสมอ การทำเช่นนี้ยังช่วยให้เกิดการเปรียบเทียบราคา คุณภาพ ทำให้ได้ของที่ถูกและดีที่สุดอยู่เสมอ


2. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร

การบริหารธุรกิจนั้นคุณควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการบริหารกับธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ ว่าคุณมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเหมาะสมหรือไม่ ค่าใช้จ่ายที่ว่านี้ ได้แก่

ค่าจ้างผู้บริหารและพนักงาน

ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำเกินไป เพราะถ้าสูงเกินไปก็จะมีต้นทุนด้านนี้สูง กำไรของธุรกิจก็จะลดลง ถ้าต่ำเกินไปพนักงานก็จะไม่อยากอยู่กับธุรกิจของคุณนาน เพราะมีที่อื่นให้เงินเดือนสูงกว่า ทำให้เกิดการลาออกของพนักงานบ่อยๆ การฝึกคนใหม่ก็เสียเงินเสียเวลามาก บางแห่งอาจให้เงินเดือนในอัตราที่แข่งขันได้ แต่ไม่สูงมากนัก แล้วให้เงินโบนัสปลายปีที่แปรผันตามกำไรของกิจการซึ่งอาจสูงมากหากกิจการมีกำไรดีมาก ทำให้พนักงานขยันทำงานช่วยกันทำให้บริษัทมีกำไรดีๆ เพื่อที่ตนเองจะได้โบนัสสูง ก็เป็นแนวทางที่ดีครับ

อีกแนวทางหนึ่งคือ การให้โอกาสพนักงานซื้อหุ้นของกิจการได้ปีละครั้ง โดยอาจให้หักจากเงินเดือนหรือโบนัสก็ได้ ทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของกิจการร่วมด้วยส่วนหนึ่ง หากกิจการดี เงินปันผลหุ้นของตนเองก็จะดีตามไปด้วย อีกทั้งมักอยากแนะนำคนรู้จักให้ซื้อสินค้าและบริการของกิจการที่ตนเองมีหุ้นอยู่เพราะความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของด้วยนั่นเอง


ค่าใช้จ่ายในสำนักงาน

ค่าใช้จ่ายนี้ มีทั้ง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าถ่ายเอกสาร ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ต่ำได้ก็ดี เพราะหมายถึงการประหยัดต้นทุน และหมายถึงกำไรที่มากขึ้น

แต่อย่าให้ถึงกับเกิดความอึดอัดอย่างมากของพนักงาน เพราะจะทำให้พนักงานทำงานอย่างไม่มีความสุข แต่ควรเป็นการรณรงค์ให้พนักงานมีจิตสำนึกของความประหยัดจะดีกว่า ผมแนะนำให้ใช้วิธีกำหนดเป็นนโยบายว่า หากแผนกใดสามารถลดค่าใช้จ่ายสำนักงานลงได้เมื่อเทียบกับปีก่อน เงินส่วนที่ประหยัดได้จำนวนกึ่งหนึ่งจะจ่ายกลับให้เป็นโบนัสปลายปีเพิ่มเติมสำหรับพนักงานทุกคนในแผนกนั้น จะทำให้พนักงานทุกคนคอยเป็นหูเป็นตาช่วยกันประหยัดเองโดยที่เจ้าของไม่ต้องบอก


ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด

ค่าใช้จ่ายด้านนี้หากมากไปก็สิ้นเปลือง หากน้อยไปก็ขายสินค้าหรือบริการไม่ได้เพราะคนไม่รู้จัก หรือ ไม่รู้ข่าวสินค้าหรือบริการใหม่ๆ จึงต้องจัดสรรอย่างเหมาะสม ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในเรื่องของการตลาด



3. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้

การกู้เงินเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับหลายๆธุรกิจ แต่พึงจำไว้ว่า กู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และ ใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากดอกเบี้ยเงินกู้จะออกดอกบานสะพรั่งทุกๆวัน ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก ร้านจะเปิดหรือปิด ดอกเบี้ยมีทุกวัน เมื่อกู้เงินมาแล้วจึงต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังในกิจกรรมทางธุรกิจ

ผมเคยพบผู้ประกอบการใหม่หลายๆราย แทนที่จะใช้จ่ายเงินกู้ในธุรกิจ กลับนำมาสร้างภาระใหม่ เช่น ซื้อรถใหม่ ซื้ออาคารใหม่ ทั้งๆที่รถคันเดิม อาคารเดิมก็ยังใช้ได้อยู่ ไม่มีความจำเป็นต้องขยายอะไร ทำเพียงเพื่ออยากได้หน้าได้ตาว่ามีกิจการใหญ่โต ทั้งๆที่ความจริงแล้วมีแต่หนี้ อย่างนี้ไม่นานหากการค้าสะดุด เงินหมุนเวียนติดขัด โดยยึดรถ ยึดอาคาร เงินกู้ก็ยังต้องจ่าย เกิดความเสียหายก็จะตามมา

การใช้เงินกู้ระยะสั้น ในกิจกรรมผลิตสินค้า หรือ สั่งสินค้าเพื่อส่งให้ลูกค้าตามใบสั่งซื้อที่ได้รับมาแล้ว เป็นสิ่งจำเป็น แต่อย่าใช้เงินกู้ระยะสั้น ไปลงทุนระยะยาว เด็ดขาด เช่น นำไปซื้ออาคารหรือที่ดิน เนื่องจากการลงทุนอาคารและที่ดินควรใช้เงินกู้ระยะยาว อย่าใช้เงินกู้ผิดประเภทครับ

4. ค่าใช้จ่ายด้านภาษี

ภาษีเงินได้เป็นส่วนสำคัญที่ธุรกิจต้องจ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่จัดการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำอย่างไรจะแนะนำให้บางเรื่อง ดังนี้

ค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมพนักงาน สามารถหักภาษีได้ 2 เท่า เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้กิจการต่างๆ มีการฝึกอบรมพนักงานของตนเองให้ดี จึงจูงใจให้ประหยัดภาษีได้ แต่เรื่องที่ฝึกอบรมต้องเกี่ยวข้องกับงานนะครับ มีหลักสูตรและใบเสร็จรับเงินของสถาบันที่ได้รับอนุมัติจากกรมสรรพากรแล้ว ส่วนใหญ่การอบรมของมหาวิทยาลัยต่างๆของรัฐนั้นมักจะนำมาหักลดหย่อนภาษีตรงนี้ได้

ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา สามารถหักภาษีได้ 2 เท่า เพราะรัฐบาลต้องการให้กิจการเอกชนมีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง รายจ่ายด้านนี้จึงนำมาหักภาษีได้ครับ

นำอาคารสถานที่ หรือ รถยนต์ของเจ้าของไปให้ธุรกิจของตนเองเช่าใช้ ค่าเช่าสำนักงาน ค่าเช่ารถยนต์ ช่วยลดกำไรของธุรกิจลงได้ ทำให้ภาษีลดลง ซึ่งเรื่องนี้หลายคนอาจสงสัยว่าทำธุรกิจก็อยากได้กำไรเยอะๆ ทำไมต้องลดกำไรลงด้วย เรื่องนี้จะอธิบายดังนี้ครับ คือว่า ถ้าธุรกิจมีกำไรต้องจ่ายภาษี 30% ของกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว แต่ถ้าเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านนี้ รายจ่ายของกิจการที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้กำไรน้อยลงจึงเสียภาษีน้อยลง แต่รายจ่ายค่าเช่าของกิจการนี้กลายเป็นรายได้ส่วนตัวของเจ้าของธุรกิจ ก็นำไปเสียภาษีส่วนบุคคล ซึ่งมีอัตราภาษีต่ำกว่า เช่น 10% หรือ 20% ขึ้นอยู่กับรายได้ส่วนตัวต่อปี แต่ที่แน่ๆคือ เสียต่ำกว่า 30% แน่ๆ อย่างนี้ก็เป็นการประหยัดภาษีอีกวิธีหนึ่ง โดยไม่ผิดกฎหมาย

ตัวอย่างเช่น หากบริษัท มีกำไร 1,000,000 บาท เสียภาษี 30% = 300,000 บาท ปีต่อมาเจ้าของเปลี่ยนเป็นเอารถของตนเองไปให้บริษัทเช่าใช้ในกิจการบริษัท (ซึ่งตนเองก็เป็นคนใช้รถอยู่ดี) แต่คิดค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท หรือปีละ 120,000 บาท สมมติว่า ปีนี้บริษัทมีกำไรเท่าเดิมคือ 1,000,000 บาท แต่เพิ่มรายจ่ายค่าเช่ารถไปอีก 120,000 บาท ทำให้กำไรลดลงเหลือ 1,000,000 – 120,000 = 880,000 บาท เสียภาษี 30% = 264,000 บาท ลดลง 36,000 บาท เจ้าของนำรายได้จากค่าเช่ารถไปเสียภาษีส่วนบุคคล 10% คือ 12,000 บาท สุดท้ายแล้วประหยัดภาษีไปได้ 36,000 – 12,000 = 24,000 บาท ต่อปี ไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ นี่แค่รายการตัวอย่างเดียวนะครับ

5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ค่าใช้จ่ายนี้หมายถึงค่าใช้จ่ายอื่นที่ไม่นับ ต้นทุนสินค้าขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ และภาษี ผมหมายถึงเรื่องที่อาจเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เช่น ค่าปรับ ค่าชดเชยความเสียหาย ที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น พนักงานบริษัทขับรถบริษัทไปชนผู้อื่นระหว่างทำงานในหน้าที่ หรือสินค้าชำรุดบกพร่องอันอาจเกิดอันตรายต่อผู้บริโภค ทำให้ต้องเรียกสินค้าคืน เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ผมแยกมาเรียกว่าเป็น “ค่าใช้จ่ายอื่นๆ” ซึ่งในหลายกรณีในทางบัญชีอาจเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการบริหาร แต่ผมแยกออกมา เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่ในภาวะปกติจะไม่มี และมักมาแบบ “คาดไม่ถึง” เจ้าของธุรกิจอาจลดความเสี่ยงได้โดยการมีประกันภัย ไว้เมื่อเกิดเหตุคาดไม่ถึงก็ให้ประกันจ่ายตามเงื่อนไข ลดความเสี่ยงของการเสียเงินด้านนี้ลงได้

เขียนบทความโดย มงคล ตันติสุขุมาล 
วิทยากรฝึกอบรม ติดต่อ โทร 0817168711 email: mingbiz@gmail.com

สัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมายการค้าที่ดี

การมีสินค้าหรือบริการ ยังไม่พอ เราต้องมีตรายี่ห้อ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายการค้า ทั้งของตัวสินค้าหรือบริการ และของตัวบริษัทด้วย เพราะว่าผู้ซื้อจะได้รู้ว่าหากใช้แล้วดีอยากซื้อซ้ำต้องซื้อยี่ห้ออะไรดี และยี่ห้อนี้ผลิตโดยบริษัทใด

ทีนี้การจดจำรูปภาพ จะจำได้แม่นยำกว่าการมีเพียงตัวอักษร อีกทั้งการสร้างแบรนด์หรือตรายี่ห้อให้คนรู้จัก มูลค่าของแบรนด์นั้นๆจะเพิ่มขึ้นตามเวลาเป็นค่าลิขสิทธิ์อย่างหนึ่ง เหมือนกับโค๊ก เป๊ปซี่ KFC, SONY, TOYOTA, HONDA, กาแฟวาวี ฯลฯ

การตั้งชื่อ การกำหนดสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายการค้าที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นนั้นเป็นสิ่งสำคัญอันจะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตต่อไปอย่างกว้างขวาง แล้วการกำหนดสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายการค้าที่ดีควรเป็นอย่างไร ก็ขอแนะนำว่าต้องพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้


1. ชื่อ


ชื่อที่ใช้ ควรมีความกระชับ สั้น จดจำได้ง่ายในการฟังเพียงครั้งแรก ยกตัวอย่างจากของจริง เช่น

กาแฟ วาวี บ้านไร่กาแฟ มนต์นมสด

หากเป็นชื่อที่ยาว ควรกำหนดตัวย่อเพื่อให้จำได้ง่ายเป็นสัญลักษณ์ก็ได้ เช่น

International Business Machine ย่อเป็น IBM

Advance Info Service ย่อเป็น AIS

บางคนชอบที่จะกำหนดชื่อบริษัท หรือ ชื่อสินค้า โดยใช้ชื่อของตนเองหรือเจ้าของ เรื่องนี้มีสิ่งที่ควรระวังก็คือ หากภาพลักษณ์ส่วนตัวของเจ้าของดี ก็จะส่งผลดีต่อธุรกิจ แต่หากภาพลักษณ์ของส่วนตัวของเจ้าของมีปัญหา ก็จะกระทบต่อธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเอาไปผูกกันเอง


2. สัญลักษณ์

การกำหนดสัญลักษณ์ประจำบริษัท สินค้า หรือบริการ ควรมีเป็นอย่างยิ่ง สัญลักษณ์ที่ดีนั้นต้องเห็นแล้วจดจำได้ง่าย ไม่ควรมีตัวอักษรเล็กๆยิบๆรอบๆโลโก้ สัญลักษณ์อาจมีรูปทรงเลขาคณิตเช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม เป็นองค์ประกอบก็ได้ เพราะจะเป็นลักษณะที่คนคุ้นเคยทำให้จำได้ง่าย

บางบริษัทใช้ชื่อย่อเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท และสินค้าก็มีเพราะสะดวกดี และโฆษณาประชาสัมพันธ์คราวเดียวครอบคลุมหมดทั้งบริษัทและสินค้า เช่น IBM, SONY เป็นต้น


3. สี

ไม่ว่าบริษัท หรือ สินค้า ควรกำหนดสีของสัญลักษณ์ และ ตัวอักษรด้วย ไม่ใช่ว่าสีอะไรก็ได้ เพราะการจดจำของคนนั้น สีเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะสร้างการจดจำ ซึ่งปัจจุบันนี้ธุรกิจได้ยอมรับและเน้นเรื่องสีกันเป็นการใหญ่ เช่น

ธนาคารกสิกรไทย ใช้สีเขียวเป็นสีพื้น

ธนาคารไทยพาณิชย์ ใช้สีม่วงเป็นสีพื้น

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ใช้สีเหลืองเป็นพื้น

บริษัท ไอบีเอ็ม ถูกเรียกว่ายักษ์สีฟ้า เพราะใช้สีฟ้าเป็นพื้น


4. ขนาด

ขนาดของตราสัญลักษณ์ หรือ ตรายี่ห้อ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้สนใจหรือกลุ่มเป้าหมายมองเห็นได้ หากเป็นป้ายชื่อและโลโก้บริษัท ซึ่งบ่งบอกถึงชื่อกิจการควรทำให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้และจ่ายภาษีป้ายไหว แต่ต้องให้ดูดี เพื่อให้คนที่ขับรถผ่านไปมาสามารถมองเห็นได้แต่ไกล ผมขอยกตัวอย่างป้ายของธนาคารต่างๆ คุณจะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการทำป้ายใหญ่มาก บางแห่งให้พื้นที่ทั้งอาคารทาสีและใส่สัญลักษณ์ของธนาคารลงไปเลยทีเดียว ทำให้คนที่ขับรถผ่านไปมาเห็นได้อย่างชัดเจนมาแต่ไกล

หากเป็นป้ายบอกสินค้าเฉพาะอย่างก็ควรให้มีขนาดตัวอักษร และสัญลักษณ์ ใหญ่ที่สุดในกลุ่มตัวอักษรทั้งหมดในฉลาก เพื่อให้เกิดการสังเกตและจดจำแก่ผู้ซื้อ

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

การตลาดและการขายนั้น สำคัญมาก ถึงมากที่สุด

ขึ้นชื่อว่าธุรกิจ จะต้องมีการซื้อขาย มีส่วนต่างเป็นกำไร ไม่ว่าธุรกิจใดจะเขียนวิสัยทัศน์ให้สวยหรูดูดีอย่างไรก็ตาม สิ่งที่รู้กันดีโดยไม่ต้องเขียนไว้ก็คือ “ธุรกิจมีขึ้นเพื่อการทำกำไร” หากทำธุรกิจโดยไม่ต้องมีกำไรเขาเรียกว่ามูลนิธิ ครับ

แล้วกำไรจะมาจากไหน

หากขายในราคาสูงกว่าทุนที่ซื้อมาก็คือได้กำไร

นั่นแปลว่าทุกธุรกิจต้องมี “การขาย” เป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจ เพียงแต่จะแตกต่างกันว่าจะขายอย่างไร

หากธุรกิจใด ผลิตได้คุณภาพดีเลิศ บริการได้สุดประทับใจ สถานที่สุดสวยงามอลังการ แต่ “ขายไม่ได้” คือ ไม่มีลูกค้า ธุรกิจนั้นๆก็ต้องมีอันเป็นไป

ดังนั้น ผมจึงกำหนดให้การขาย เป็นความสำคัญสูงสุดอันดับที่หนึ่งของทุกธุรกิจ

การขายนั้น จะควบคู่กับการตลาดเสมอ เพราะ กลยุทธ์การตลาดสารพัดอย่างที่คิดค้นกันออกมา ล้วนแต่เพื่อให้สินค้าหรือบริการนั้นๆ “ขายให้ได้”

ในอดีตที่ผู้ผลิตมีจำนวนน้อย ทางเลือกมีไม่มาก ทำให้หลายธุรกิจสามารถผลิตตามความต้องการของเจ้าของก่อนแล้วค่อยหาคนซื้อ แต่ในปัจจุบันต้องหาความต้องการของลูกค้าก่อน แล้วค่อยผลิตสินค้าหรือบริการ ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการนั้น ธุรกิจจึงจะอยู่รอดได้

แม้การตลาด และ การขาย จะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในธุรกิจ แต่มีเจ้าของกิจการจำนวนมากที่ ขายไม่เป็น คือ เปิดธุรกิจขึ้นมาได้ แต่กลัวการขาย ไม่กล้าขาย อยากจะหาคนอื่นมาขายให้ ซึ่งก็ไม่เคยหาเจอคนเก่งที่ได้ดังใจเลย ที่เก่งๆอยู่ไม่นานก็จากไป เพราะคนขายเก่งใครๆก็ต้องการตัว

ผมอยากจะบอกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ครับ ธุรกิจของตนเอง งานสำคัญต้องทำเองเป็น พึงผู้อื่นได้บ้าง แต่หากถึงคราวจำเป็นแล้วก็ต้องทำด้วยตนเองได้ด้วย

ปัญหาส่วนใหญ่ของธุรกิจคือ เจ้าของกิจการ วางแผนการตลาดไม่เป็น หรือ วางแผนแล้ว แต่ไม่กล้าออกไปพบลูกค้า ไม่กล้าออกไปขายสินค้า แล้วธุรกิจจะไปรอดได้อย่างไร

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการขาย ขอให้เรียนรู้ที่จะขายให้เป็นก่อนการก่อตั้งธุรกิจ หรือก่อตั้งแล้วก็ยิ่งจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องการขายให้หนักกว่าเดิม คุณอาจฝึกฝนได้จากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการขาย หรือ การทดลองขายสินค้าเล็กๆน้อยๆด้วยตนเอง หรือ ไปสมัครในธุรกิจขายตรงเข้าฝึกอบรมแล้วลองหัดขายเองดู ให้แน่ใจว่าอาการกลัวการขายของตนเองได้ลดลงมากหรือหมดไปแล้ว มิฉะนั้น คุณอาจต้องมานั่งทุกข์ระทมกับธุรกิจของตนเองที่เปิดขึ้นมาแล้ว แต่ขายไม่ได้ เพราะเจ้าของธุรกิจ “กลัวการขาย”

ก่อนอื่นนั้น ผมขอปรับทัศนคติเรื่องการขายให้ทุกคุณก่อนนะครับว่า ในชีวิตจริงนั้นทุกคนกำลังขายอยู่ เช่น พนักงานที่ไปสมัครงานบริษัท ก็กำลังขายทักษะส่วนตัวและเวลาโดยพยายามอย่างยิ่งที่จะให้นายจ้างรับเข้าทำงานเพื่อซื้อทักษะ และเวลาที่มีโดยแลกกับเงินเดือน นี่ก็คือการขาย หากสินค้าคือตัวคุณมีคุณภาพไม่เป็นที่พอใจของเจ้านาย คุณก็จะไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน หรืออาจโดนไล่ออก ก็คือการขายอยู่ดี

ผู้บริหาร ก็กำลังขายทักษะด้านการบริหารจัดการ หากทำให้บริษัทมีกำไร ผู้บริหารก็อยู่ได้ กรรมการก็ยังซื้อไว้อยู่ แต่หากทำบริษัทขาดทุนต่อเนื่อง กรรมการก็ไม่เอาแล้ว อาจถูกสั่งย้ายหรือสั่งปลดจากตำแหน่ง ก็คือการขายทักษะด้านการบริหาร

แพทย์ ก็ขายบริการด้านการรักษาผู้ป่วย หากแพทย์ไม่มีความสามารถ วินิจฉัยโรคผิดพลาด รักษาคนไข้ไม่หายบ่อยๆ อีกหน่อยก็ไม่มีใครอยากมารักษากับแพทย์ท่านนี้ ท่านก็ขายบริการด้านการรักษาไม่ได้

วิศวกรโยธา ก็ขายบริการด้านการก่อสร้าง หากไม่มีความสามารถเพียงพอ สร้างอาคารแล้วมีการแตกร้าวก่อนเวลา มีการพังทลายของสิ่งก่อสร้าง ต่อไปก็ไม่มีใครอยากใช้บริการการก่อสร้างของวิศวกรท่านนั้นๆ ก็คือขายไม่ได้

เราจะพบว่าทุกงานทุกอาชีพ ล้วนแต่ต้องอาศัยการ “ขายให้ได้”

เป็นพื้นฐานของการอยู่ได้ในวิชาชีพ เพียงแต่สินค้าที่จะขายและวิธีการขายแตกต่างกันไป

ธุรกิจยักษ์ใหญ่ทุกธุรกิจในโลกนี้ล้วนเติบโตขึ้นจากการขายทั้งนั้น คนรวยคือผู้ขาย คนจนคือ ผู้ที่ซื้อ เงินไม่พอซื้อก็ไปกู้หนี้ยืมสินมาซื้อ ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ล้วนแต่รวยขึ้นมาเพราะการขาย คุณคงคุ้นเคยกับยี่ห้อ โตโยต้า ฮอนด้า โซนี่ ซันโย โตชิบ้า โมโตโรล่า คาซิโอ แอลจี ซัมซุง ฯลฯ ใช่ไหมครับ เขาก็โด่งดัง ร่ำรวย จากการขายทั้งสิ้น

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม หากจะทำธุรกิจให้รอด จงทำใจให้ยอมรับและรักการขายให้ได้ หาไม่แล้ว อนาคตทางธุรกิจของคุณอาจมืดมน

บางคนอาจเถียงว่า ก็จ้างพนักงานขายให้ขายให้ก็สิ้นเรื่อง ก็ต้องย้อนถามว่าธุรกิจ SME จะหาเงินที่ไหนมากมายไปจ้างพนักงานขายเก่งๆ แล้วหากพนักงานที่ขายเก่งของคุณลาออกไป ธุรกิจจะทำอย่างไร แสดงว่าความเป็นความตายของธุรกิจจะเอาไปฝากไว้กับพนักงานขายไม่กี่คนอย่างนั้นหรือ เจ้าของธุรกิจขายเก่งเองไม่ดีกว่าหรือ พนักงานขายอื่นๆจะเข้าจะออกไปกี่คนธุรกิจก็ไม่กระเทือน เพราะเจ้าของขายเองได้ แล้วขายเก่งซะด้วย อย่างนี้ดีกว่าใช่ไหมครับ

กิจกรรมของธุรกิจ มีอะไรบ้าง

ธุรกิจประกอบด้วยกลุ่มงานต่างๆมากมาย ได้แก่

• การตลาดและการขาย
• การเงิน
• การผลิตสินค้า หรือ บริการ
• การจัดการสำนักงาน และ ระบบธุรกิจ

การตลาดและการขาย

ทำให้ธุรกิจอยู่ได้ นักธุรกิจมักกล่าวแก่พนักงานของตนเสมอว่า

“แท้จริงแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่จ่ายเงินเดือนให้เธอ…
ลูกค้า คือผู้ที่จ่ายเงินเดือนให้เธอ
เพราะถ้าไม่มีลูกค้า บริษัทก็จะไม่มีรายได้
เธอก็จะไม่มีเงินเดือนในที่สุด…
ฉะนั้น… จงดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด”

ผมจะได้พูดถึงเรื่องของการตลาดและการขายให้ละเอียดต่อไป แต่เรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อมีการตลาดที่ดี สินค้าขายได้ การจะหาเงินทุน ผู้ร่วมทุน ซื้อเครื่องจักรมาผลิต ก็จะเป็นกิจกรรมที่ตามมา

การเงิน

การเงินเป็นตัวสนับสนุนให้ธุรกิจเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ จะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับขนาดของธุรกิจ ทั้งเงินทุน เงินหมุนเวียนจากการซื้อขาย ฯลฯ แต่มันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้ถูกลงทุนและใช้ไปกับสินค้าที่ตลาดต้องการ ขายได้ และ ใช้เงินอย่างระมัดระวังและรู้คุณค่า มีการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มันงอยเงย เพิ่มเติม สร้างความมั่นคงร่ำรวยให้กับคุณได้

การได้มาซึ่งเงินทุน และการบริหารการใช้เงินทุนนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและล่อตาล่อใจอย่างยิ่ง จึงเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะบริหารผิดพลาดได้มาก ทั้งเกิดจากการลงทุนผิด การใช้จ่ายเกินตัว การรั่วไหล ฯลฯ แต่ถ้าหากบริหารอย่างมีวินัย มีประสิทธิภาพ ก็จะก่อให้เกิดคุณประโยชน์มหาศาลต่อธุรกิจของคุณ และทำให้คุณมั่งคั่งร่ำรวยได้


การผลิตสินค้าหรือบริการ

การผลิต เป็นส่วนสำคัญ และสลับซับซ้อนมากในกระบวนการทางธุรกิจ อาจต้องใช้เครื่องจักรเครื่องมือ พนักงานมากน้อยตามแต่ประเภทของธุรกิจ แต่โดยปกติแล้วจะใช้มากเมื่อเทียบกับแผนกอื่นๆของธุรกิจ

คุณภาพเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตสินค้า หรือ บริการ ลูกค้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุด (เท่าที่จะเป็นไปได้) การควบคุมการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล จึงเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมทางธุรกิจ ปัจจุบันความรู้ต่างๆเกี่ยวกับการบริหารการผลิตได้ถูกพัฒนาไปมาก หากได้เรียนรู้ให้ดีก็จะทำให้ธุรกิจไปได้ดีทีเดียว

การจัดการสำนักงาน และระบบธุรกิจ

เรื่องนี้สำคัญแม้จะไม่สำคัญมากที่สุด แต่ก็สำคัญ เพราะหากการจัดการสำนักงาน และระบบธุรกิจไม่ดี จะทำให้การไหลเวียนของงานติดขัด ขาดหาย อันจะส่งผลกระทบต่อการให้บริการที่ดี ส่งผลต่อความพึงพอใจทั้งภายใน และภายนอก

การจัดการสำนักงานและระบบธุรกิจ จะครอบคลุมถึง การไหลเวียนของงานเอกงาน การแจ้งข่าวสาร การติดตามงาน การรับคำสั่งซื้อ การออกคำสั่งผลิต การออกใบส่งของ การออกใบเสร็จรับเงิน การจ่ายเช็ค การติดตามหนี้ การฝึกอบรมพนักงาน การจ่ายเงินเดือน การควบคุมค่าใช้จ่ายภายในสำนักงาน ฯลฯ ซึ่งมีกระบวนการปลีกย่อยอีกมากมายในแต่ระเรื่อง

หากธุรกิจมีการจัดการสำนักงานที่ดี ก็จะทำให้งานไหลลื่นไม่ติดขัด ลดปัญหาความขัดแย้งภายในระหว่างแผนก การเมืองในสำนักงานน้อยลง ธุรกิจก็ราบรื่นขึ้น

(โดย มงคล ตันติสุขุมาล โทร 0817168711 Line: mtraining)
#วิทยากรมงคล #วิทยากรฝึกอบรมธุรกิจ #วิทยากรการตลาด #วิทยากรการเจรจาต่อรอง

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

ทำธุรกิจ จะหาแหล่งเงินทุน ลงทุนเอง หรือ หาหุ้นส่วนดี

ผู้เขียน: มงคล ตันติสุขุมาล
วิทยากรฝึกอบรม ติดต่อ โทร 0817168711 email: mingbiz@gmail.com

      การหาแหล่งเงินทุนเป็นเรื่องที่สำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจ หลังจากที่ได้จัดทำการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการจนมั่นใจแล้วว่า “คุ้มค่า น่าทำ และจะทำ” แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องหาแหล่งเงินทุนแล้วว่าจะเองเงินจากไหนมาทำ โครงการธุรกิจในฝันของคุณ

หากมีเงินทุนเพียงพอ การจะเริ่มต้นประกอบธุรกิจก็จะสะดวกขึ้น หากมีมากพอ หรือ สายป่านยาวพอ ก็อยู่ได้นาน แต่จะเติบโตหรือยั่งยืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆที่เหลือ

การหาแหล่งเงินทุน มีมากมายหลายวิธี เช่น

1. เงินทุนของตนเอง

เงินทุนจากเงินเก็บส่วนตัว หรือ มรดกที่ได้รับมา ถือว่าเป็นแหล่งทุนที่ดีที่สุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะถือเป็น “เงินเย็น” คือ เงินที่ไม่ต้องไปเป็นหนี้ใคร แม้ทำธุรกิจผิดพลาดประการใดก็ไม่ถึงกับมีหนี้ล้นพ้นตัว

แต่เงินทุนของตนเองมีข้อจำกัด คือ หากไม่ใช่เศรษฐีแล้ว คนส่วนใหญ่ มีเงินที่จำกัด ในหลายโครงการธุรกิจนั้นเงินทุนส่วนตัวอาจไม่เพียงพอต่อการเริ่มต้นธุรกิจได้ ก็จำเป็นต้องหาเงินทุนจากแหล่งอื่นๆมาเพิ่มเติม


2. เงินทุนของญาติสนิท มิตรสหาย

เงินทุนของญาติสนิท มิตรสหาย เป็นแหล่งเงินทุนแหล่งที่สองที่มีความเสี่ยงต่ำรองลงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากญาติคนนั้นเป็นคนที่เขารักคุณที่สุด เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ในครอบครัว หรือ เพื่อรักกัน ถ้าหากเขาเชื่อมั่นในตัวคุณ เชื่อมั่นในโครงการของคุณ เขาก็อาจให้เงินคุณมาลงทุนได้ ซึ่งนักธุรกิจหลายคนก็เริ่มต้นจากตรงนี้ ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่ผูกพันกันตาม “ความรู้สึกเชื่อถือในตัวคุณ” เป็นหลัก

จริงอยู่ที่ว่าเงินลงทุนจากแหล่งนี้เป็นเงินลงทุนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นหนี้ที่ถูกฟ้องร้องต่ำ แต่จะมีความเสี่ยงอื่นมาแทนที่ นั่นคือ ความ “เสี่ยงต่อการสูญเสียความน่าเชื่อถือ และความผิดหวังของคนใกล้ชิด หากคุณทำพลาด” เพราะเขาไว้วางใจคุณ เชื่อใจคุณ เชื่อในโครงการของคุณ และรักคุณ เขาจึงยอมเสี่ยงด้วย แต่ความเสี่ยงนี้คุณต้องแบกรับความรับผิดชอบด้วยเกียรติภูมิทั้งหมดในชีวิตของคุณ หาไม่แล้วคุณจะกลายเป็นตัวแทนแห่งความล้มเหลวและความผิดหวังของคนในครอบครัว หรือ ของเพื่อนรักของคุณเอง ภาระนี้ใหญ่หลวงนัก เมื่อรับเงินลงทุนมา ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงไว้เต็มบ่าด้วยนะครับ


3. เงินทุนจากสถาบันการเงินต่างๆ

เงินลงทุนจากสถาบันการเงินต่างๆ เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุน เป็นเงินลงทุนที่ผูกพันกัน “ตามกฎหมาย” ระหว่างผู้ขอกู้ กับผู้ให้กู้ เป็นหลัก การจะไปกู้เงิน คุณก็ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็น อาคารที่ดิน เครื่องจักร สิทธิบัตร ฯลฯ เป็นต้น อีกทั้งอาจต้องมี “ผู้ค้ำประกัน” หากสถาบันการเงินต้องการ

เงินกู้จากแหล่งนี้ มีขั้นตอนการพิจารณาที่เป็นระบบเป็นขั้นตอน ใช้ข้อมูล ความเป็นไปได้ของโครงการธุรกิจ ฐานะการเงิน ความน่าเชื่อถือของผู้กู้ และหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นหลักในการพิจารณาให้เงินกู้ และมักไม่ให้เต็มวงเงินหลักทรัพย์ที่นำไปค้ำประกัน เพราะเขาต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการด้อยค่าลงในอนาคตของหลักทรัพย์ที่ค้ำประกัน

การกู้เงินจากสถาบันการเงินนั้น คุณเองก็ต้องมีเงินทุนของตนเองอยู่แล้วส่วนหนึ่ง เขาจึงจะเชื่อว่าคุณพร้อมเสี่ยงเงินของคุณเองในธุรกิจด้วย ไม่ใช่เอาเงินเขามาเสี่ยงทั้งหมด

สำหรับเงินจากบัตรเครดิต ผมไม่แนะนำให้ใช้ในการลงทุนในธุรกิจนะครับ เพราะเป็นแหล่งเงินทุนระยะสั้น แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และมีอัตราดอกเบี้ยสูงมาก

เงินกู้แบ่งเป็น ระยะสั้น กับระยะยาว ระยะสั้นหมายถึงต้องใช้คืนภายใน 1 ปี ส่วนระยะยาวนั้นผ่อนใช้คืนได้หลายปี แล้วแต่ว่าทำสัญญากันกี่ปี

หากลงทุนในอาคาร หรือ อสังหาริมทรัพย์ หรือ เครื่องจักรขนาดใหญ่ ควรใช้แหล่งเงินกู้ระยะยาว แต่ถ้าเป็นการหมุนเวียนซื้อวัตถุดิบ ซื้อมาผลิตแล้วขายไป ได้เงินกลับมาในเวลาอันสั้น ก็ควรใช้เงินกู้ระยะสั้น ต้องใช้ให้เหมาะกับประเภทนะครับ เพราะอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกัน และระยะเวลาใช้คืนเงินกู้ก็แตกต่างกันครับ

เงินกู้จากสถาบันการเงินนั้น ส่วนตัวแล้วผมมักแนะนำว่าอย่าใช้มากโดยไม่จำเป็น และหากใช้ ก็ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะหากคุณไม่สามารถนำเงินไปใช้คืนเขาได้ เขาก็ต้องยึดหลักทรัพย์ค้ำประกันของคุณขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ หากไม่ครบมูลหนี้ คุณและผู้ค้ำประกันก็ยังต้องตามใช้หนี้ที่เหลือต่อไปอีก ถ้าคุณใช้เงินก้อนนี้ผิดพลาด คุณและครอบครัวอาจไม่มีบ้านจะอยู่ในอนาคตก็เป็นไปได้


4. เงินทุนจากการส่งเสริมของรัฐบาล

เงินลงทุนจากแหล่งอื่นที่แนะนำก็คือ เงินทุนจากสถาบันส่งเสริมธุรกิจต่างๆที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอยู่ เช่น

ธนาคารเพื่อการส่งออก (EXIM Bank) สำหรับธุรกิจส่งออก
ธนาคารเพื่อการเกษตร สำหรับธุรกิจด้านการเกษตร
ศูนย์ส่งเสริม SMEs สำหรับ ธุรกิจ SMEs

ซึ่งสถาบันเหล่านี้ ส่วนหนึ่งบริหารงานแบบเอกชน แต่มีรัฐบาลให้การสนับสนุน ทำให้คุณได้วงเงินเพิ่มเติม หรือ ได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสถาบันการเงินเอกชนทั่วไป


5. เงินทุนจากนักลงทุนทั่วไป

เงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วไป ได้แก่ บรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ที่มีเงินเย็นเก็บไว้ แต่ก็ไม่อยากทำธุรกิจเอง แต่อยากนำเงินเก็บของตนเองไปลงทุน หรือ ร่วมทุน กับผู้อื่น ในธุรกิจที่น่าสนใจ โดยต้องการเงินปันผล หรือ กำไรจากการขายหุ้นออกไปในอนาคต โดยเงินทุนจากแหล่งนี้ มีทั้งจากนอกตลาดหลักทรัพย์ และในตลาดหลักทรัพย์

ผมจะไม่พูดถึงเงินทุนจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ แม้แต่ MAI นั้นต้องเป็นกิจการขนาดใหญ่ หรือกลางที่เปิดมานานและมีผลประกอบการที่ดีมากเป็นฐานเดิมมาก่อน จึงไม่ใช่แหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจเปิดใหม่

เงินทุนจากบุคคลทั่วไป หรือ บรรดาเศรษฐีนักลงทุนนั้น อาจเป็นคนที่คุณรู้จัก หรือไม่รู้จักมาก่อนก็เป็นไปได้ หากแต่คุณมีโครงการธุรกิจที่ดีน่าสนใจ และได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับผู้สนใจลงทุนเหล่านี้ แล้วมีบางคนเกิดสนใจอย่างร่วมลงทุนกับคุณขึ้นมา โดยอาจขอถือหุ้นในบริษัทร่วมกับคุณ แต่ให้คุณบริหารทั้งหมด หรือ มาร่วมบริหาร หรือ ส่งคนมาร่วมบริหารก็ตามที บางคนอาจให้เงินกู้แก่คุณในอัตราดอกเบี้ยต่ำโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันก็เป็นไปได้

เงินลงทุนจากแหล่งนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย แต่อาจจะหายากอยู่สักหน่อยหากว่าคุณไม่ใช่คนที่กว้างขวางและชอบสังคม หรือ เป็นคนน่าเชื่อถือในหมู่นักลงทุนเหล่านี้ ดังนั้น ข้อแนะนำคือ หากคิดจะทำธุรกิจ จงทำตัวให้เป็นคนชอบสังคม และ มีความน่าเชื่อถือ


การหาหุ้นส่วน

การที่มีคนร่วมแนวคิด ร่วมอุดมการณ์ ทางธุรกิจกับคุณก็เป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะหากเขาต้องการเป็นหุ้นส่วน โดยร่วมลงทุน ร่วมบริหาร ร่วมทำธุรกิจ อันจะทำให้คุณไม่ต้องเหนื่อยคนเดียว แต่การจะหาหุ้นส่วนที่ดีนั้นยากนัก ผมเห็นหลายธุรกิจเริ่มต้นเหมือนจะดี มีหุ้นส่วนที่สนใจและมีความหวังในธุรกิจเดียวกัน ทำไปทำมาสักพัก หุ้นส่วนเริ่มทะเลาะกัน หนักเข้า ก็ถอนหุ้นแยกทางออกไป หนักกว่านั้นหุ้นส่วนหลายราย แตกคอกันจนบริษัทต้องปิดกิจการ หรือ ขายทิ้งไป ก็มีให้เห็นมาก แล้วก็โทษกันไปมา จนหลายคนเข็ดขยาดกับการทำธุรกิจแบบมีหุ้นส่วน

ในการทำธุรกิจ แน่นอนว่าหากเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดเพียงคนเดียว ย่อมง่ายต่อการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ไม่มีใครคอยขัดคอ หรือแสดงความเห็นแย้ง แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นความเสี่ยงที่อาจตัดสินใจผิดพลาดโดยไม่มีใครท้วงติงหรือเสนอแนะ การมีหุ้นส่วนมาร่วมกันก็ดีในแง่ที่มีผู้ช่วยคิดช่วยทำ ถ้าหากเลือกหุ้นส่วนที่ดี โดยหลักการพิจาณาหุ้นส่วนที่ดี ผมอยากแนะนำอย่างนี้ครับ

1. หาหุ้นส่วนที่มีจุดแข็งในเรื่องที่คุณไม่มี มาเป็นหุ้นส่วน ไม่ใช่หาแต่คนที่มีความสามารถเหมือนๆกันหมดมาเป็นหุ้นส่วน เพราะจะไม่มีใครมาปิดจุดอ่อนคุณ เพื่อให้มีการชดเชยทักษะที่คุณไม่มี คุณควรหาคนที่ที่ทักษะด้านที่คุณขาดไปมาเป็นหุ้นส่วน เช่น สมมติคุณจะเปิดร้านขายคอมพิวเตอร์ และคุณรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้เรื่องบัญชี เรื่องการตลาด ก็หาหุ้นส่วนที่รู้สองเรื่องนี้มาร่วมงานกัน

2. หาหุ้นส่วนที่มีอุปนิสัยเข้ากันได้กับคุณ โดยเฉพาะ “ค่านิยมพื้นฐาน” ผู้ที่จะมาเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ หรือเป็นกรรมการร่วมบริหาร เพราะค่านิยมและความเชื่อพื้นฐาน จะเป็นสิ่งที่ทำให้การทำงานไปในแนวทางเดียวกัน และไม่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เช่น หากคุณมีค่านิยมพื้นฐานที่ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ ก็ไม่ควรหาหุ้นส่วนที่เคยรู้ว่ามีพฤติกรรมที่ชอบใช้ช่องว่างของกฎหมายในการหาประโยชน์เข้าตัวโดยมิชอบ มิฉะนั้น ในขณะที่คุณต้องการจะเสียภาษีอย่างถูกต้อง หุ้นส่วนของคุณอาจจะอยากโกงภาษี ในขณะที่คุณอยากร่วมประมูลอย่างตรงไปตรงมา หุ้นส่วนคุณอาจจะอยากจ่ายใต้โต๊ะ หรือ ล๊อกสเป็ก เป็นต้น ทำงานกันได้ไม่นานก็ต้องทะเลาะกันและเลิกรากันไปแน่นอน

หากค่านิยมและความเชื่อของคุณคือ การทำธุรกิจเพื่อสังคม และต้องคืนประโยชน์สู่สังคมจากกำไรส่วนหนึ่งที่ได้ในทุกปี ในขณะที่หุ้นส่วนรายใหญ่ของคุณต้องการเพียงกำไรสูงสุด ไม่ต้องการให้กระเด็นไปสู่สังคมแม้แต่น้อย ก็ต้องทะเลาะกันอีกเหมือนกัน

หากค่านิยมและความเชื่อของคุณคือ การทำงานเพื่อครอบครัว และทั้งสองสิ่งต้องสมดุลกัน คุณจึงปฏิบัติตนอย่างสมดุล และ ให้โอกาสพนักงานมีวันหยุดอยู่กับครอบครัวด้วยความเต็มใจ ในขณะที่หุ้นส่วนรายใหญ่ของคุณเป็นคนบ้างาน ทั้งชีวิตต้องทุ่มให้งานเท่านั้น และต้องการให้พนักงานทำเช่นนี้ด้วย คุณกับเขาก็จะทะเลาะกัน

นี่คือเหตุผลที่ผมแนะนำว่า การหาหุ้นส่วนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้นิสัยและความคิดของเขามาก่อนที่จะมาร่วมธุรกิจกัน โดยเฉพาะหุ้นส่วนที่ต้องมาเป็นกรรมการบริหารงานร่วมกับคุณยิ่งมีความสำคัญมาก

3. หาหุ้นส่วนที่มองโลกในแง่ดี มีทัศนคติบวกต่อชีวิตตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อธุรกิจที่ทำ จากประสบการณ์ของผม บอกได้อย่างมั่นอกมั่นใจว่า ผู้มองโลกในแง่ดี มีทัศนคติบวก เท่านั้นจึงจะทำให้ธุรกิจก้าวหน้าในระยะยาว ผู้มองโลกในแง่ร้าย มีทัศนคติลบ มักจะสร้างปัญหาไม่รู้จักจบสิ้น อันเนื่องมาจากมีทัศนคติที่ไม่ดี คอยผลิตผลลัพธ์ที่ไม่ดีออกมาได้เรื่อยๆนั่นเอง

พูดถึงเรื่องนี้ ต้องแยกให้ออกนะครับ ว่าผู้มีทัศนคติดี มองโลกในแง่ดี ไม่ใช่ โง่เขลา เชื่อคนง่าย ให้เขาหลอกง่ายๆ นะครับ คนละความหมายกัน คนมองโลกในแง่ดี จะมองหาโอกาสในอุปสรรค์ มองหาข้อดีในข้อเสีย จะคิดบวกได้ในสถานการณ์ที่เป็นลบ ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เพราะมองหาแต่ข้อดีของคนในทีมที่จะนำมาเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ แต่การทำธุรกรรมต่างๆ ก็รอบคอบและเป็นไปตามกฎระเบียบ กฎหมาย มีขั้นมีตอน ไม่ขี้ระแวงแต่ก็ไม่ถูกหลอก เพราะความเป็นคนรอบคอบ

ในขณะที่ผู้มองโลกในแง่ร้ายมักมีอุปนิสัยที่ มองเห็นแต่ปัญหาในทุกเรื่อง มองหาข้อเสียในสิ่งดี คิดแต่เรื่องลบๆแม้ในสถานการณ์ที่เป็นบวก ทำงานร่วมกับผู้อื่นไม่ค่อยได้ เพราะจะคอยมองหาแต่ข้อเสียของผู้อื่นมาตำหนิทำให้ทีมขาดความสามัคคี พฤติกรรมก็จะเป็นคนขี้ระแวง ชอบจับผิด ในขณะที่คนแบบนี้มักมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอในทุกเรื่องไม่ค่อยยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น เพราะเห็นว่าผู้อื่นไม่มีดีเท่าตนเอง ทำให้ขาดความรอบคอบ ขาดที่ปรึกษาที่ดี และมักทำงานผิดพลาด ถูกหลอกเพราะความไม่รู้และไม่ฟังผู้หวังดีที่ทักท้วงตักเตือน

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงให้ความสำคัญกับการหาคนที่มีทัศนคติที่ดีมาร่วมธุรกิจมากกว่า จึงจะทำให้ธุรกิจราบรื่น หรืออย่างน้อยๆ ก็ควรมีทัศนคติที่เป็นกลาง ไม่ลบมากเกินไป ก็ยังดี

4. หาหุ้นส่วนที่มีความฉลาด ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ มีระเบียบวินัย แก้ปัญหาได้ดี เพราะผู้ที่มีความฉลาดมักจะมีความเห็นดีๆ มีวิธีการดีๆ มีการแก้ปัญหาที่ดีมีประสิทธิภาพ เมื่อบวกกับความขยันขันแข็งก็ยิ่งทำให้ธุรกิจมีความก้าวหน้ารวดเร็ว แต่ถ้ามีหุ้นส่วนร่วมบริหารที่ “โง่เขลา แต่ขยัน” อาจเจอแต่ปัญหาเพราะเขาอาจ “ขยันทำแต่เรื่องโง่ๆ” ก็ได้

เรื่องของความซื่อสัตย์ ก็สำคัญมาก เพราะผู้ที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่จะทำให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆเชื่อถือ ทำให้พนักงานเชื่อถือ ทำให้คู่ค้าเชื่อถือ ทำให้ลูกค้าเชื่อถือ แล้วกิจการก็จะมีเครดิตที่ดี ถ้ามีหุ้นส่วนใหญ่ที่ไม่ซื่อสัตย์ คุณจะพบแต่ปัญหาในระยะยาว เพราะเขาจะตุกติก หมดเม็ด ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลงบัญชี หรืออื่นๆ ที่ทำให้บริษัทต้องมีอันเป็นไปในระยะยาว

ความมีระเบียบวินัย เป็นเรื่องของผู้ที่ไม่ทำงานแบบมักง่าย แต่ต้องการความประณีต สมบูรณ์ของงาน ทำให้งานออกมาดี ความมีระเบียบวินัยทำให้ผู้เกี่ยวข้องรู้สึกนับถือ และ การงานมีระเบียบ

โดยสรุปแล้วการหาหุ้นส่วนใหญ่ หรือ ผู้ร่วมบริหารงานที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องมีคุณสมบัติที่ดีก่อน แล้วค่อยไปหาคนอื่นที่ดี มิฉะนั้น เขาดีแต่คุณไม่ดี เขาก็ทำงานร่วมกับคุณไม่ได้เหมือนกัน

แต่อยากจะบอกว่า การหาหุ้นส่วนใหญ่หรือผู้ร่วมบริหาร ไม่ใช่ดูจากเพื่อนที่เคยสนิทในสมัยเรียน หรือจากญาติพี่น้องเป็นหลัก จริงอยู่ที่คนในกลุ่มที่ว่านี้คุณจะรู้จักเขามาก่อน รู้อุปนิสัยของเขามาก่อน แต่บางครั้งคุณคบหาเขาเพียงผิวเผิน เฉพาะตอนกินเล่นเต้นเที่ยว เคยทำงานกิจกรรมหรือรายงานสมัยเรียนร่วมกันบ้างแต่น้อยมาก ยังตัดสินไม่ได้ว่าเขาจะเป็นหุ้นส่วนที่ดีหรือไม่ ถ้าคุณสมบัติเขาไม่เหมาะสมโดยเฉพาะในเรื่องสำคัญๆ ก็ตัดใจอย่านำมาร่วมงานกันนะครับ เพราะหลายกรณีผมเคยพบเพื่อนที่ชวนเพื่อนมาทำธุรกิจด้วยกัน แต่มีนิสัยและค่านิยมที่ต่างกันมาก สุดท้ายก็ทะเลาะกันเป็นศัตรูกันไป เช่น คนหนึ่งขี้เกียจ คนหนึ่งขยันเป็นเพื่อนกันจึงชวนกันมาเข้าหุ้นทำธุรกิจด้วยกัน คนขยันก็ทำงานทั้งวันทั้งคืน คนขี้เกียจเข้าบริษัทเดี๋ยวเดียวก็โดดงานไปเที่ยว ไปตีก๊อล์ฟ มีปัญหาก็ไม่ช่วยแก้ไข พอสิ้นปีกลับต้องการส่วนแบ่งกำไรมากๆ สุดท้ายคนที่ขยันก็รู้สึกว่าตนเองถูกเอาเปรียบ มีอันต้องทะเลาะกันแล้วเลิกรากันไป

บางคนรับญาติมาร่วมหุ้นกัน บริหารงานร่วมกัน เมื่อญาติทำผิดก็ไม่ค่อยกล้าตำหนิ เนื่องจากเป็นเป็นญาติกลัวเสียสายสัมพันธ์ เกรงใจกันไปกันมา ธุรกิจก็พังกันไปหมด

ดังนั้น การเลือกหุ้นส่วนธุรกิจ ที่จะมาร่วมกันบริหารงานด้วย ควรจะต้องดูที่ “คุณสมบัติที่เหมาะสม” มากกว่า “สายสัมพันธ์” นะครับ แต่ถ้ามีคุณสมบัติที่เหมาะสม และมีสายสัมพันธ์กันมาก่อนก็ยิ่งดี โดยต้องแยกแยะออกว่า เรื่องงานส่วนงาน มีอะไรผิดพลาดต้องตำหนิติติง สั่งสอนกันได้ มีปัญหาช่วยกันแก้ไขไม่กล่าวโทษกันไปมา แบบนี้สายสัมพันธ์ที่ดีจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ

เขียนบทความโดย มงคล ตันติสุขุมาล
วิทยากรฝึกอบรม ติดต่อ โทร 0817168711 email: mingbiz@gmail.com

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างง่าย

ผู้เขียน: มงคล ตันติสุขุมาล 
วิทยากรฝึกอบรม ติดต่อ 0817168711 email: mingbiz@gmail.com

      นักธุรกิจมือใหม่หลายคน มักเริ่มต้นธุรกิจจากการเลือกสิ่งที่ตนเองคิดว่าชอบทำเป็นงานอดิเรก มาทำเป็นธุรกิจ โดยอาจทำสินค้า ตัวอย่างไปให้คนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูงลองกินลองใช้ดู พอเห็นว่าเขาชอบหรือพอเป็นไปได้ก็ลงทุนเปิดธุรกิจเลย และมักเจอปัญหาขาดทุน หรือธุรกิจไม่เป็นไปดังหวัง

เพราะอะไร

กระบวนการคิดข้างต้นมีอะไรผิดพลาดกันแน่ ผมจะอธิบายให้ฟังครับ

การเลือกธุรกิจจากสิ่งที่ตนเองชอบนั้นดี แต่ต้องให้แน่ใจว่าถ้าจะทำเป็นธุรกิจอย่างแท้จริง เมื่อรู้สึกเบื่อ จะหยุดไม่ได้ตามอารมณ์ ไม่เหมือนงานอดิเรกนะครับ งานอดิเรกนั้นทำเมื่ออยากทำ เบื่อก็หยุดพัก แต่สำหรับการประกอบธุรกิจแล้ว การทำๆหยุดๆ ธุรกิจคงไปไม่รอด

การทำสินค้าตัวอย่างไปให้คนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูงลองติชมลองใช้ดู อาจฟังดูดี แต่ส่วนมากแล้ว คนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง มักจะมีคนที่กล่าวชมหรือวางเฉยมากว่ากำหนิติเตียน เพราะไม่อยากให้คุณโกรธ อีกอย่างคุณเอาของให้เขาใช้ฟรี ก็ต้องรับไว้ ชมอีกนิด พอเป็นมารยาท แต่ในใจอาจคิดว่า “ถ้าต้องซื้อไม่เอาแน่” แต่เขาไม่พูดออกมา ทำให้ข้อมูลที่คุณได้รับอาจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง หรือทำให้คุณหลงคิดไปว่าเมื่อคนในครอบครัวหรือเพื่อนๆชอบ แสดงว่าของน่าจะขายได้ ว่าแล้วก็เอาเลย ลงทุนเปิดกิจการเลย แล้วผลปรากฏว่า “ลูกค้าที่แท้จริง” คือบุคคลทั่วไปที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย กลับไม่ได้นิยมชมชอบ ไม่ค่อยมีคนซื้อสินค้าหรือบริการที่คุณเสนอ

ตอนเริ่มกิจการใหม่ๆก็อาจคิดไปว่า น่าจะเป็นเพราะเป็นกิจการเปิดใหม่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก จึงยอมทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์กันสุดตัว ทำให้มีลูกค้ามาเยี่ยมๆชมๆ ซื้อสินค้าหรือบริการบ้าง แต่แล้วก็ไม่กลับมาซื้อซ้ำอีกเลย ไม่มีการบอกต่อๆกัน สุดท้ายงบหมด ทุนหมด ปิดกิจการ หน้าเศร้า เจ็บปวด เข็ดขยาด ผิดหวัง มีหนี้สินเพิ่มขึ้น ความฝันพังทลาย น่าสงสาร

คำแนะนำ คือ ก่อนดำเนินธุรกิจใดๆ หรือมีโครงการใดใหม่ๆเพิ่มเติมจากธุรกิจเดิม ควรที่จะมีการ “ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ” ก่อน หากเป็นธุรกิจขนาดเล็กก็ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการแบบง่ายๆด้วยต้นทุนต่ำ แต่ควรทำเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจที่มี เพราะถ้าผลสรุปจากการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ระบุออกมาว่าโครงการนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือ มีความเสี่ยงสูงเกินไป ก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเงิน เสียเวลา เสียอารมณ์ ทำตั้งแต่ทีแรก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนั้นต้องมีหลักการที่ถูกต้อง มีข้อมูลที่ถูกต้อง มีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์นะครับจึงจะใกล้เคียงกับความจริงที่น่าจะเป็น ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนั้น ควรเริ่มจากการหาข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งทำได้หลายวิธี


หาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ

ฟังดูอาจงง คือ หาข้อมูลจากหนังสือ ตำรา รายงานวิจัย ข่าวสารในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร บทสัมภาษณ์ผู้รู้ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งคุณไม่ได้ไปเก็บข้อมูล หรือทำวิจัยด้วยตนเอง เพียงแต่รวบรวมเอาข้อมูลจากแหล่งต่างๆที่ว่ามาประมวลผลดู

วิธีการนี้เป็นวิธีการที่สะดวกและมีต้นทุนต่ำ แต่เจ้าของกิจการต้องเป็นนักอ่าน นักหาข้อมูล ขยันเข้าอินเตอร์เน็ต หรือ ห้องสมุด หาเวลาพูดคุยกับผู้รู้ที่อยู่ในวงการให้มาก ซึ่งคนที่มีคุณสมบัติเป็นนักหาข้อมูลด้านธุรกิจนับวันจะมีน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมัวเอาเวลาไปดูเกมส์โชว์ ดูละคร

หากคุณมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการธุรกิจที่คุณจะทำมากพอ คุณจะได้รับรู้ถึง โอกาส อุปสรรค ที่อาจจะมี ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจจริงๆ หากโอกาสงาม อุปสรรคที่คาดว่าจะมีนั้นอยู่ในวิสัยที่จัดการได้ ก็จะลดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง ดีกว่าไปเจออุปสรรค์โดยไม่รู้มาก่อน เป็น “เซอร์ไพรส์” อันเจ็บปวด อย่างนี้ไม่ดีแน่

สิ่งที่อยากจะเตือนไว้ก็คือ อย่าหาข้อมูลเพียงไม่กี่ชิ้น แล้วด่วนสรุปว่าโครงการที่ตนเองคิดนั้นแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร และ ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เพราะถ้าหากว่าคุณได้หาข้อมูลให้มากพอและลึกพอ คุณอาจจะพบว่า โครงการที่ว่านี้มีคนอื่นทำมาก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่อยู่ในพื้นที่ของคุณ หรือ อาจเป็นโครงการที่คนอื่นทำแล้วเลิกแล้วเพราะล้มเหลว ถ้าคุณไม่รู้ กลับมาทำซ้ำรอยโครงการที่คนอื่นทำแล้วและเลิกแล้ว ซึ่งคุณเองก็ไม่รู้ปัญหาของคนที่เคยทำแล้วเลิกมาก่อนว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าเป็นคุณจะแก้ไขปัญหาเดียวกันนั้นได้หรือไม่ แบบนี้ไม่ดีแน่

การหาข้อมูลจึงต้องมากพอ และละเอียดลึกซึ้งพอ เป็นตัวเลขที่ชัดเจนมากกว่าเป็นเพียงความรู้สึก เพราะถ้าเป็นข้อมูลผิวเผิน เรามักตีความเข้าข้างตนเอง หรือ หาแต่ข้อมูลที่สนับสนุนความชอบของตนเอง โดยไม่สนใจหาข้อมูลที่ขัดแย้งกับความชอบของตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูลก็จะผิดพลาด นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด

โดยสรุป คือ หาข้อมูลให้มากที่สุด ละเอียดที่สุด จากหลากหลายแหล่งข้อมูล ทั้งเป็นเอกสาร และผู้คนในวงการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ โดยไม่เอาความชอบ หรือไม่ชอบส่วนตัว ไปเป็นตัววัดในการวิเคราะห์ข้อมูล


หาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ

เมื่อได้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิซึ่งเป็นเอกสาร หรือ สัมภาษณ์คนในวงการ แล้ว ก็ควรจะหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ หรือผมจะเรียกว่า “ภาคสนาม” นั่นเอง

หมายความว่า คุณควรจะต้องไปพบคนแปลกหน้าที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าเป้าหมาย แล้วไปสอบถามข้อมูลความคิดเห็นของว่าที่ลูกค้าเหล่านั้นว่า คิดอย่างไรกับสินค้า หรือ บริการที่คุณจะทำ แล้วเก็บข้อมูลให้ละเอียดว่า ลูกค้าชอบตรงไหน ไม่ชอบตรงไหน จะซื้อหรือไม่ และ ที่สำคัญคือ คิดว่าราคาที่ซื้อควรเป็นเท่าไหร่จึงจะยอมจ่าย คำถามสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด จากประสบการณ์ในธุรกิจของผม ผมเคยพบแบบสอบถามหลายหัวข้อเรื่องที่ทำวิจัยในด้านธุรกิจ บางแบบสอบถามพบว่า ทุกคำถามดีหมด แต่ไม่ถามว่า “ลูกค้ายินดีซื้อหรือไม่ และยินดีจ่ายที่ราคาเท่าใด” เห็นแต่คำถามว่าสินค้าหรือบริการนี้ดีไหม ชอบไหม เมื่อลูกค้าตอบว่าดี ชอบ ก็สรุปว่าน่าจะทำได้ก็ไปผลิต เมื่อต้นทุนสูง ก็ต้องตั้งราคาขายไว้สูง เมื่อออกวางตลาดปรากฎว่าไม่มีใครซื้อ ก็ต้องขายขาดทุน ธุรกิจล้มเหลว ถ้าเพียงแต่รู้ราคาที่ลูกค้ายอมจ่ายตั้งแต่แรกก็คงจะดีกว่านี้

หากเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้ง ก็ต้องไปดูสถานที่จริง ไปดูบ่อยๆ ในหลายๆวันของสัปดาห์ ในหลายๆช่วงเวลา ในหลายๆพื้นที่ เพื่อจะได้ทำเลที่ดีที่สุด บางคนไปดูเพียง 2-3 ครั้ง ไปเฉพาะตอนกลางวัน หรือ ไปเฉพาะช่วงปิดเทอม ดูเสมือนดี มีที่จอดรถเยอะ รถไม่ติด ดูไม่เปลี่ยว จึงตัดสินใจเช่า เซ้ง หรือ ซื้ออาคาร

เมื่อย้ายไปอยู่จริงๆ ปรากฏว่า ช่วงเปิดเทอมรถติดมาก ไม่มีที่จอดรถ พื้นที่บางแห่งในเวลากลางคืนก็เปลี่ยวจนน่ากลัว ผิดคาด แต่ก็ไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะจ่ายเงินค่าเช่าหรือซื้อไปแล้ว ได้แต่นั่งเศร้า

ในทางกลับกัน บางทำเลเห็นว่ามีรถผ่านมาก คิดว่าน่าจะดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ “รถวิ่งผ่านแต่ไม่จอด เพราะหาที่จอดยาก” หรือ เป็นร้านโดดเดี่ยว ไม่น่าสนใจ รถแวะที่ร้านไม่ค่อยมี มีแต่ขับผ่านมาแล้วผ่านไป ก็เศร้าอีกเหมือนกัน เรื่องเหล่านี้จะคุยกันละเอียดอีกครั้งในเรื่องการหาทำเลนะครับ

ทำไมผมจึงเน้นให้ไปหาข้อมูลจากแหล่งเป้าหมายจริงๆ เพราะข้อมูลที่ได้จากข่าวสาร จากเอกสารต่างๆ อาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงในปัจจุบัน การวิจัยบางเรื่องทำมาเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันสถานการณ์และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ได้เป็นเช่นเดิมแล้ว จึงต้องมีการตรวจสอบจากของจริง สถานการณ์จริง สถานที่จริง กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจริง อีกหลายครั้ง ก่อนการตัดสินใจ

ในบางกรณี การสอบถามจากนักวิชาการ ก็อาจมีความคลาดเคลื่อนได้เนื่องจากเป็นข้อมูลตามตำรารวมกับความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งหลายคนก็ไม่เคยทำธุรกิจที่คุณสอบถามเขามาก่อน

การสอบถามจากคนในวงการที่ทำอยู่ ก็มีความคลาดเคลื่อนได้เนื่องจากเขาก็คงไม่อยากให้คุณทำธุรกิจเดียวกับเขา เพราะจะเป็นการสร้างคู่แข่งเปล่าๆ ข้อมูลที่เขาบอก จึงอาจไม่เป็นความจริงก็ได้

การสอบถามจากคนที่เคยทำแล้วเลิกแล้ว ก็อาจมีความคลาดเคลื่อนเนื่องจากเขาอาจจะไม่มีความรู้จริงในธุรกิจที่เขาเคยทำ ติดขัดปัญหาที่เขาแก้ไม่ได้ เห็นเป็นปัญหาใหญ่ หรือ ขาดความอดทน ฯลฯ แต่คุณอาจแก้ได้

นี่คือเหตุผลที่ผมบอกว่า ไม่ว่าจะฟัง “เขาเล่าว่า” หรือ “เขาบอกว่า” จากที่ไหนก็ตาม ต้องมีการหาข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ คือ พื้นที่จริง กลุ่มลูกค้าเป้าหมายตัวจริง ในช่วงเวลาปัจจุบัน ด้วยเสมอ

ดังนั้นจึงควรนำข้อมูลจากทุกแหล่งมาประมวลผลรวมกัน แล้วจึงวิเคราะห์โดยละเอียด คุณจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ความผิดพลาดในการตัดสินใจดำเนินโครงการธุรกิจก็จะลดลง


การไปเยี่ยมเยือนกิจการของคนอื่น

ธุรกิจหลายๆอย่างนั้นอาจมีคนอื่นทำอยู่แล้ว แต่คุณอาจมีแนวคิดแนวทางที่ทำให้ดีกว่าที่คนอื่นๆทำได้ การไปดูงาน ดูธุรกิจที่คนอื่นดำเนินอยู่ หรือไปทดลองใช้บริการดูว่าเป็นอย่างไร ก็เป็นแนวทางในการหาข้อมูลที่ดี

บางคนอยากเปิดสปา เพราะชอบใช้บริการสปาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พออยากเปิดสปาของตนเอง ก็ไปดูงานแบบนักธุรกิจ คือ ดูว่าเขามีการตกแต่งร้านอย่างไร การแต่งกายของพนักงานเป็นอย่างไร เมนูในบริการมีอะไรบ้าง เป็นต้น แบบเจาะลึก พินิจพิเคราะห์ ทำให้ได้ข้อมูลมากพอ แล้วคิดหาจุดเด่นของตนเองเพื่อสร้างความแตกต่าง

บางคนชอบดื่มกาแฟสด เดินทางไปที่ใดในประเทศ หรือ ในโลกนี้ ก็ต้องแวะร้านกาแฟ เพื่อชิมกาแฟรสเลิศ จนเป็นคอกาแฟตัวยง รู้รสชาติ กลิ่น สี การตกแต่งร้าน บรรยากาศ แหล่งผลิต ส่วนผสม ฯลฯ ทุกอย่าง เมื่อต้องการทำธุรกิจร้านกาแฟสดก็จะง่ายขึ้น เพราะมีความรู้พื้นฐานเป็นอย่างดีเป็นทุนเดิม เพียงแต่หาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องธุรกิจเพิ่มเติม หรือ หาผู้มีความรู้ทางธุรกิจมาช่วย ก็จะเรียบร้อยราบรื่นดี

ความรู้ในการประกอบธุรกิจนั้น สามารถแบ่งออกเป็นเรื่องใหญ่ๆได้ 2 เรื่อง คือ ความรู้ทางด้านเทคนิค และ ความรู้ทางด้านธุรกิจ

บางคนมีความรู้ทางด้านเทคนิคดี เช่น แพทย์ วิศวกร พ่อครัว นักกฎหมาย ฯลฯ แต่ขาดความรู้ทางธุรกิจ ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงสูงได้ เพราะในการนำความรู้ทางเทคนิคมาทำเป็นธุรกิจได้นั้น ต้องอาศัยตัวแปรทางธุรกิจอีกหลายอย่าง ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเป็นเรื่องที่จำเป็นในการลดความเสี่ยงทางธุรกิจ

บางคนมีความรู้ทางด้านธุรกิจ แต่ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ก็ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงเช่นกัน จึงจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนตนเองต่อยอดความรู้ทางเทคนิคให้มากขึ้น หรือหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคมาเสริมธุรกิจของตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

การศึกษาความเป็นได้ของโครงการ ประกอบด้วยเรื่องต่างๆ ซึ่งคุณควรเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร จากข้อมูลที่หามาข้างต้น เพื่อเป็นการเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบ สามารถทบทวนในภายหลังได้ อีกทั้งยังนำไปให้หุ้นส่วน หรือ เจ้าของเงินทุนอ่านดูเพื่อเป็นแนวทางได้อีกด้วย ซึ่งหัวข้อในรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการควรประกอบด้วย


1. ข้อมูลเบื้องต้น

ประกอบไปด้วยข้อมูลทั่วไปทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเฉพาะ ขนาดของตลาด และ แนวโน้มในอนาคต โอกาสที่เป็นไปได้ อุปสรรค์ที่อาจจะมี จำนวนคู่แข่งมีทำธุรกิจอยู่ก่อน ฯลฯ ข้อมูลเบื้องต้นควรหาให้ละเอียดที่สุดจากแหล่งข้อมูลต่างๆตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว


2. ระบุ ที่มา วัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการ

โดยการบอกความเป็นมาที่สนใจโครงการธุรกิจโครงการนี้ โดยใช้ข้อมูลเบื้องต้นที่ค้นคว้ามาประกอบ กำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ อาจมีข้อเดียวหรือหลายข้อก็ตาม แต่ทุกวัตถุประสงค์ควรสอดคล้องกัน ไม่ขัดแย้งกัน ส่วนเป้าหมายของโครงการ ควรกำหนดเป็นตัวเลขที่ชัดเจน เพื่อวัดผลได้ อีกทั้งมีระยะเวลากำกับไว้ ว่าโครงการนี้จะใช้เวลากี่ปี คาดว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ มียอดขายเท่าไหร่ หรือ มีส่วนแบ่งการตลาดเท่าไหร่ เป็นต้น


3. วิเคราะห์จุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) โอกาส (Opportunity) และ อุปสรรค์ (Threat)

3.1. จุดแข็ง (Strength) หมายถึง สิ่งที่ตนเองทำได้ดี ในขณะที่หาคนอื่นที่ทำได้แบบนี้ยาก หรือ มีความเชี่ยวชาญพิเศษในเรื่องที่จะทำ หรือ มี Know How ในเรื่องที่จะทำ เป็นต้น

3.2. จุดอ่อน (Weakness) หมายถึง สิ่งที่ตนเองทำได้ไม่ดี ในขณะที่คู่แข่งทำได้ดีกว่า เช่น เงินทุนจำกัด บุคลากรจำกัด หรือ ความเชี่ยวชาญจำกัด เป็นต้น แต่อย่าถึงกับมีจุดอ่อนมากมายนะครับ มิฉะนั้น แสดงว่า คุณอาจไม่เหมาะกับธุรกิจนี้ ในขณะเดียวกัน ควรคิดหาทางแก้ไขจุดอ่อนที่ตนเองมี โดยพิจารณาว่า จุดอ่อนนั้น เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดต่อความสำเร็จของธุรกิจที่ศึกษาอยู่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็จะต้องพัฒนาตนเองให้ไม่มีจุดอ่อนนั้นเหลืออยู่ หรือ หาบุคลากรที่จะมาชดเชยจุดอ่อนนั้นจุดอ่อนหมดไปให้ได้

3.3. โอกาส (Opportunity) หมายถึง ปัจจัยภายนอกที่เอื้ออำนวยให้โครงการนี้น่าจะไปได้ดี เช่น การเปิดการค้าเสรี ทำให้คนที่พูดภาษาต่างประเทศได้ เป็นที่ต้องการสูงในอนาคตอันใกล้ โรงเรียนสอนภาษา จึงเป็นโอกาส ถ้าผนวกกับ จุดแข็ง เช่นเจ้าของธุรกิจจบการศึกษาด้านภาษาต่างประเทศ ก็ทำให้โอกาสทางธุรกิจยิ่งเป็นไปได้สูงขึ้น หรือ การที่นักท่องเที่ยวนิยมหาข้อมูลการท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ตก่อนการเดินทาง ทำให้ธุรกิจรับจองโรงแรมที่พัก และแพกเกจทัวร์ทางอินเตอร์เน็ต มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ เป็นต้น หรือ เศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงานมากขึ้น ซึ่งเป็นอุปสรรคของบางธุรกิจ แต่กลับเป็นโอกาสสำหรับบางธุรกิจ เช่น ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาและคอมพิวเตอร์ กลับมีคนมาเรียนมากขึ้น เพราะเมื่อคนว่างงาน หรือ รู้สึกว่างานเดิมไม่มั่นคง จึงอยากเรียนรู้เพิ่มทักษะความสามารถของตนเอง เพื่อว่าจะได้หางานใหม่ได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาและคอมพิวเตอร์เติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจตกต่ำบริษัทต่างๆ ต้องจำกัดงบประมาณในการโฆษณา ทำให้การโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ลดลง แต่การโฆษณาผ่านสื่อวิทยุ ซึ่งถูกว่า กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น นี่เป็นตัวอย่างของการมองหาโอกาสในวิกฤต

3.4. อุปสรรค์ (Threat) หรือ ภัยคุกคาม หมายถึง ปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ เช่น มีกฎหมายใหม่ เรื่องลิขสิทธ์ซอร์ฟแวร์ อีกทั้งบังคับให้ร้านเกมส์คอมพิวเตอร์ปิดร้านเร็วขึ้น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเพราะต้องซื้อซอร์ฟแวร์แต่รายได้ลดลงเพราะเวลาทำการสั้นลง หรือ การลดภาษีจากการเปิดเสรีการค้า ทำให้สินค้าจากประเทศจีนเข้ามาในเมืองไทยในราคาที่ถูกมาก ทำให้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศซึ่งต้นทุนสูงกว่า ขายได้น้อยลง เป็นอุปสรรค์หรือภัยคุกคามอย่างหนึ่ง หรือ ในกรณีที่เกิดการระบาดของไข้หวัดนก ทำให้สินค้าจากสัตว์ปีก เช่น ไก่ และไข่ ขายได้น้อยลงเพราะคนกลัว เมื่อทราบอุปสรรค์ที่คาดว่าจะมีล่วงหน้า จะได้คิดหาวิธีแก้ไขไว้ล่วงหน้า เพื่อให้อุปสรรค์เบาบางลงหรือ หมดสิ้นไป เช่น กรณีร้านเกมส์ อาจต้องหารายได้เพิ่มจากบริการอื่น เช่น ปรับเป็นร้านอินเตอร์เน็ตคาร์เฟ่ ขายกาแฟ และเครื่องดื่ม หรือ รับพัฒนาเว็บไซท์ รับพิมพ์งาน เป็นรายได้เสริม กรณีสินค้าจากจีนราคาถูกว่า แต่คุณภาพต่ำกว่า และไม่มีบริการหลังการขาย เราสามารถเน้นย้ำเรื่องคุณภาพกับตรายี่ห้อที่เชื่อถือได้ อีกทั้งมีการรับประกันที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่า มีอะไหล่ซ่อมเวลาสินค้าชำรุดเป็นต้น ในกรณีของไข้หวัดนก อาจมีการเน้นจุดขายว่า เราเป็นฟาร์มปิด ควบคุมความสะอาดทุกขั้นตอน ทำให้เชื้อโรคจากภายนอกเข้าไปไม่ได้ และตรวจสอบความสะอาดก่อนนำไปวางตลาด เป็นต้น ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากขึ้น ก็จะขายได้มากขึ้น แม้มีอุปสรรค์ก็ตาม


4. ระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการธุรกิจที่ทำ

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายควรมีจำนวนมากพอที่โครงการจะเกิดขึ้นได้ โดยการดูตัวเลขประกอบ เช่น สมมติว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายธุรกิจของคุณเป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 20 – 35 ปี หรือ วัยทำงานตอนต้น ก็ต้องดูตัวเลขจากสัมมโนประชากรว่า ประชากรกลุ่มนี้ในจังหวัด หรือ อำเภอ หรือ ตำบลที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นอยู่อาศัย มีอยู่กี่คน หรือ หากเป็นสินค้าที่กระจายทั่วประเทศก็เอาตัวเลขทั้งประเทศเป็นเกณฑ์ ถ้ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ คุณก็ต้องมีตัวเลขว่า มีชาติใดบ้าง จำนวนกี่คนที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ แล้วอาศัยหรือทำงานอยู่ที่ไหนกันเป็นส่วนใหญ่หมายถึงถนนเส้นใด หมู่บ้านใด อำเภอใด อีกทั้งนิยมพบปะสังสรรค์กันที่ใด เป็นต้น

หากเป็นอพาร์ทเม้น ควรชัดเจนว่าตั้งอยู่บริเวณใด และบริเวณนั้นใครน่าจะมาพักได้ เช่นนักศึกษา หรือ คนทำงาน จะเป็นแบบรวม หรือ เฉพาะหญิงเท่านั้น แล้วบริเวณนั้นมีกลุ่มเป้าหมายอยู่มากน้อยเพียงใด


5. จัดทำแบบสอบถามกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อระบุกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนแล้ว ผู้ทำรายงานโครงการควรจัดทำแบบสอบถาม เพื่อนำไปสอบถามกลุ่มเป้าหมายในเรื่องต่างๆที่อยากรู้ เช่น เพศ อายุ อาชีพ รายได้ ความต้องการสินค้าหรือบริการ และที่สำคัญที่สุดคือราคาที่สามารถจ่ายได้ เพื่อจะได้เก็บมาวิเคราะห์ ส่วนเรื่องของจำนวนแบบสอบถามที่ดีนั้น จะต้องมากพอที่จะเป็นตัวแทนของกลุ่มใหญ่ได้ โดยดูตามหลักการทางสถิติ แต่ถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่องสถิติมากนัก ขอให้มีอย่างน้อย 250 แบบสอบถามขึ้นไป (จำนวนอาจมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และ จำนวนตัวอย่างที่จะเป็นตัวแทนของคนกลุ่มนั้นได้) และแจกให้กรอกอย่างแท้จริง อย่าเพียงแต่จ้างคนไปแจก แล้วจ่ายค่าจ้าง โดยขาดการควบคุมในทุกขั้นตอน เพราะในหลายกรณีพบว่า คนรับจ้างแจกแบบสอบถาม ไม่ได้นำไปให้กลุ่มเป้าหมายกรอกแบบสอบถาม แต่กลับนำไปกลอกเองแบบมั่วๆ แล้วนำมาส่งเพื่อขอรับเงินค่าจ้าง หากเป็นแบบนี้คำตอบที่ได้รับก็จะคลาดเคลื่อนและไม่เป็นความจริงตั้งแต่แรก ทำให้การวิเคราะห์ที่ตามมาผิดไปหมด

วิธีการป้องกันปัญหานี้ทำได้โดยให้เจ้าของโครงการเป็นคนนำแบบสอบถามไปถามกลุ่มเป้าหมายเอง หากทำไม่ได้ ควรให้ผู้ที่รับจ้างแจกแบบสอบถาม ถามชื่อ นามสกุล และหมายเลขโทรศัพท์ ของผู้ตอบมาด้วย แล้วเจ้าของโครงการหรือผู้ประเมินผลก็ควรสุ่มโทรไปสอบถามซ้ำบางคำถามทางโทรศัพท์ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการสอบถามจริงๆ อีกทั้งเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ก่อนการวิเคราะห์ข้อมูล

ในกรณีของการดูทำเลร้านค้าปลีก อาจต้องมีการนำเครื่องนับเลข หรือ Counter ไปนั่งนับจำนวนคนที่เดินผ่านหน้าร้านในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลาโดยเฉพาะช่วงเวลาที่ร้านเปิดอยู่ เพื่อดูว่ามีกี่คนที่ผ่านหน้าร้าน และ น่าจะเข้าร้านกี่เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นจำนวนกี่คน เพื่อดูแนวโน้มความเป็นไปได้ของทำเลว่าดีหรือไม่


6. ประมวลผลข้อมูลที่หามาได้ทั้งหมด

โดยหากไม่มีความรู้ทางสถิติมากนัก ก็ทำเป็นอัตราส่วนร้อยละ เป็นวิธีที่ง่ายและนิยมใช้มากที่สุด เช่น ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละเท่าไหร่ ชอบสินค้าตัวอย่างที่ให้ดู และมีร้อยละเท่าไหร่ที่ยินดีซื้อ ซื้อที่ราคาเท่าไหร่อย่างละกี่เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น


7. วิเคราะห์ผล

คือนำมาคิดคำนวณต่อว่าจากผลที่ได้จากการสำรวจนั้นโครงการธุรกิจของเราสามารถตอบสนองความต้องการได้หรือไม่ โดยคาดว่าจะตั้งราคาที่เท่าไหร่จึงจะเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย (ดูจากผลการวิเคราะห์) แล้วจากราคาดังกล่าว จะมีผู้ซื้อหรือใช้บริการประมาณเดือนละกี่คน ปีละกี่คน ได้เงินรายได้เท่าไหร่ มีต้นทุนทั้งหมดเท่าไหร่ เหลือกำไรเท่าไหร่ คืนทุนได้ภายในกี่ปี กี่เดือน

การวิเคราะห์โครงการควรแยกเป็น 3 เงื่อนไข คือ ในกรณีเป็นไปตามคาดการณ์ กรณีต่ำกว่าคาดการณ์ 20% กรณีดีกว่าคาดการณ์ 20% ผลประกอบการของโครงการจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้าหากพบว่า แม้ในกรณีที่ “ต่ำกว่าคาดการณ์” ธุรกิจก็ยังอยู่ได้ไม่มีปัญหา ก็ผ่านเกณฑ์ขั้นต้น

ต่อมาก็ดูว่า ธุรกิจนี้น่าจะให้ผลตอบแทนเท่าไหร่ มากพอที่จะทำให้คุ้มค่าเงินลงทุนหรือไม่ ในทางธุรกิจเรียกว่า “ผลตอบแทนจากการลงทุน” หรือ “Return On Investment (ROI)” อาจคิดง่ายๆจากการเองเงินสดรับจากทั้งโครงการเป็นตัวลบด้วยเงินลงทุนทั้ง หารด้วยเงินลงทุนทั้งหมด แล้วคูณด้วยหนึ่งร้อยเพื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แล้วหารด้วยจำนวนปีของโครงการ

   [(เงินสดรับจากโครงการ – เงินลงทุนทั้งหมด) x 100 ] / เงินลงทุนทั้งหมด X จำนวนปี

เช่น โครงการ A ใช้เงินลงทุน 1,000,000 บาท คาดว่าจะได้เงินรายได้รวมจากโครงการทั้งสิ้น 1,500,000 บาท ในระยะเวลา 2 ปีของโครงการ

ROI = [(1,500,000 – 1,000,000) x 100] / [1,000,000 x 2 ปี] = 25% ต่อปี

แสดงว่าโครงการนี้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน 25% ต่อปี เป็นโครงการธุรกิจที่น่าสนใจมาก

หากเป็นโครงการที่มีระยะเวลายาวนานมากๆ เช่น 5 – 10 ปี การคำนวณควรจะต้องนำเรื่อง “ค่าของเงินตามเวลา” หรือ Time Value of Money มาร่วมคิดด้วย ว่าในอนาคตที่มีเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในแต่ละปี มูลค่าผลตอบแทนของโครงการเมื่อคิดที่ปีปัจจุบัน (Net Present Value: NPV) จะเป็นเท่าไหร่

แต่สำหรับการประเมินโครงการอย่างง่าย ที่มีระยะเวลาลงทุนช่วงแรกไม่ยาวนานนัก การคิดแบบที่สอนให้ในตอนต้นก็จะประเมินได้ดี


8. จัดทำแผนสำรองกรณีฉุกเฉิน

ตอนท้ายของรายงานควรมีแผนสำรองฉุกเฉิน ในกรณีที่ทุกอย่างไม่เป็นตามแผนหลัก หรือไม่เป็นไปตามอย่างที่คิดคำนวณไว้ในตอนต้นของแผน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากสถานการณ์พิเศษบางประการ เช่น เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เกิดโรคระบาด เกิดภัยพิบัติ แผ่นดินไหว น้ำท่วม ฯลฯ คุณจะทำอย่างไรกับธุรกิจของคุณ คุณจะมีแผนสำรองเงินสดอย่างไร คุณจะทำประกันภัยธุรกิจของคุณเท่าไหร่ กับใครที่ไหน เมื่อเงินหมุนเวียนในธุรกิจสะดุด คุณจะหาแหล่งเงินทุนสำรองจากที่ไหน เป็นต้น


9. สรุปผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการธุรกิจ

เมื่อประเมินโครงการธุรกิจเรียบร้อยแล้ว คุณก็ต้องสรุปว่าโครงการธุรกิจที่คุณศึกษานี้ “คุ้มค่าที่จะทำหรือไม่ จะทำหรือไม่ทำ” ถ้าผลสรุปออกมาว่าเสี่ยงเกินไป ผลตอบแทนต่ำเกินไป หรือ รู้สึกไม่คุ้ม ก็สรุปว่า “ไม่ทำ” แทนที่คุณจะลงทุนจำนวนมากแล้วค่อยมารู้ในอีกหลายปีข้างหน้าว่า ไม่น่าทำเลยตั้งแต่แรก กลายเป็นบทเรียนราคาแพง หรือ บางคนถึงกับหมดตัว มีหนี้ ในกรณีที่คุณศึกษาโครงการอย่างละเอียดนี้ก่อนแล้วคุณก็จะรู้ล่วงหน้าเหมือนทำนายอนาคตได้อย่างมีหลักการ ว่า “ไม่ควรทำ”

แต่ถ้าผลออกมากว่า ผลตอบแทนที่น่าจะได้รับออกมาสูงเป็นที่น่าพอใจ ความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ คุณอาจสรุปว่า “เป็นโครงการธุรกิจที่สมควรทำ” เมื่อนั้น ก็ค่อยมาลงรายละเอียดด้านแผนธุรกิจ แผนการตลาด การหาเงินทุน แล้วเริ่มโครงการจริงๆซะที

ในขณะที่ดำเนินโครงการอยู่ อาจต้องมีการทบทวนแผนธุรกิจ มีการปรับแผนธุรกิจ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริงในแต่ละช่วงเวลาด้วย จึงจะทำให้ธุรกิจเป็นไปด้วยดี เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา

เมื่อครบระยะเวลาโครงการก็ประเมินและสรุปผลอีกครั้งว่าทุกอย่างเป็นอย่างไร เป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ต่ำกว่าคาด หรือ ดีเกินคาด แล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป “พอใจแล้วจบโครงการได้” หรือ “จะมีการขยายการลงทุน ขยายโครงการออกไปอีก” “ทำเป็นกิจการใหญ่” “ขยายสาขา” หรือ “ขายแฟรนไชส์” หรือ “เปิดโรงงานผลิตวัตถุดิบเอง” หรือ … ฯลฯ ว่ากันไปในอนาคต แล้วก็จัดทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการใหม่ในอนาคตเมื่อเวลามาถึงอีกครั้งหนึ่ง

เขียนบทความโดย มงคล ตันติสุขุมาล 
วิทยากรฝึกอบรม ติดต่อ 0817168711 email: mingbiz@gmail.com

*ติดต่อ วิทยากร เรื่อง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ  โทร 0817168711

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จะทำธุรกิจอะไรดี

คนหลายคนพอนึกอยากจะทำธุรกิจ หรือ คิดถึงธุรกิจ ก็มักจะคิดตามกระแสคนอื่น มีอยู่ยุคหนึ่งคนนิยมกินชามุก ก็มีคนแห่ไปเปิดชามุกกันเต็มไปหมด เมื่อเร็วๆนี้คนสนใจเรื่องสปา ก็มีคนแห่เปิดสปากันมากมาย สุดท้ายหากไม่แน่จริงก็เจ๊งกันเห็นๆ


เมื่อถามพนักงานบริษัทที่อยากออกมาทำธุรกิจส่วนตัว มีไม่น้อยที่มักจะตอบว่า อยากเปิดร้านอาหาร หรือ อยากเปิดร้านกาแฟ หรืออยากเปิดร้านเสื้อผ้า เป็นต้น โดยมักจะคิดอ่านเอาจากความรู้สึกว่า เคยเห็นร้านอาหารที่ทานประจำขายดี คิดอะไรไม่ออกก็เอาอย่างเขาบ้างง่ายดี ครั้นพอเปิดขึ้นมาต้องทำอะไรต่อมิอะไรมากมายชนิดที่คิดไม่ถึง เช่น ต้องตื่นแต่เช้าตรู่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเพื่อไปซื้ออาหารสด ผักสด หมูสด เพื่อให้ได้ราคาถูก เพราะเป็นเวลาที่ของสดมาส่งหน้าตลาดสด อีกทั้งต้องกลับมาเตรียมล้างหั่น ตุ๋น กว่าจะเสร็จก็สายๆเข้าไปแล้วเกือบหมดแรง ขายเสร็จก็ต้องเก็บกวาด เช็ดล้าง หมดแรงพอดี นอนได้ไม่นานก็ต้องตื่นแต่เช้าอีก เปิดร้านอีก ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง อาหารที่ต้องต้มตลอดเวลาเตาแก๊สก็ต้องเปิดทิ้งไว้อุ่นอาหารตลอดวันเงินทั้งนั้น ที่ขายได้ก็ต้องเป็นภาระเก็บกวาดล้างจานทำความสะอาดร้าน ที่ขายไม่ได้หลายวันก็บูดเน่าต้องทิ้งไปให้เสียดาย วันไหนขายไม่ดีก็ต้องกลุ้มใจกับลูกจ้างที่นั่งเฉยๆแต่ค่าจ้างต้องจ่ายทุกวัน วันไหนขายดีก็เหนื่อยจนขาเป็นตะคริว ครั้นพอทำไปได้สักพักก็เซ้งต่อแบบขาดทุนไปเพราะบอกว่า ขายไม่ดี หรือ ขายดีพอควรแต่ไม่ไหว เหนื่อย ไม่ชอบ เป็นต้น

ผมจึงอยากแนะนำให้กับนักธุรกิจ หรือ เจ้าของธุรกิจส่วนตัวว่า การเลือกธุรกิจที่จะทำควรมีกลยุทธ์หรือมีหลักการ จะได้ไม่สะเปะสะปะ ซึ่งหลักการที่ดีควรเป็นดังนี้

1. คนหาความรัก ความชอบของตัวเอง

เริ่มต้นจากการค้นหาตัวเองว่าตัวเองนั้นมีความรักความชอบในกิจกรรมประเภทใดเป็นพิเศษ ซึ่งความรักหรือความชอบเป็นพิเศษนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้คุณอยากทำสิ่งที่ชอบได้ยาวนานเหมือนไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่รู้เบื่อ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเลือกธุรกิจที่จะทำเพราะหากคุณได้ทำในสิ่งที่คุณชอบเป็นหลัก คุณก็จะมีความสุขในทุกวันที่ทำ มีความใส่ใจในทุกรายละเอียด และยินดีทำต่อไปแม้ว่าในบางช่วงจะไม่มีกำไร แต่เมื่อทำไปด้วยใจรัก ก็จะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าในที่สุด

ถามตนเองว่า “มีงานอะไรบ้างที่คุณรัก และยินดีที่จะทำแม้ว่าจะไม่มีรายได้ตอบแทนก็ตาม คุณก็มีความสุขและยินดีที่ได้ทำ”

ในขั้นตอนนี้อย่าเพิ่งไปกังวลว่าสิ่งที่คุณชอบ หรือ กิจกรรมที่คุณชอบมันจะเป็นธุรกิจได้หรือไม่ได้ หรือ หากเป็นได้จะมีเงินไปทำหรือไม่มี เรื่องนี้บางครั้งคุณอาจจะมองยังไม่ออกว่าจะเป็นธุรกิจได้อย่างไร แต่มีทางเป็นไปได้ครับ คิดและเขียนสิ่งที่รักที่ชอบออกมาหลายๆอย่างก่อน เช่น

คุณสมหญิงมีลูกเล็ก 2 คน เป็นคนใจเย็น ชอบออกสังคมเป็นพิเศษ พอส่งลูกไปโรงเรียนเสร็จก็มักจะไปอยู่ที่สโมสร ไปร้านเสริมสวย ไปพูดคุยกับเพื่อนฝูง มีความสุขกับการดูแลลูกเป็นพิเศษ ลูกจะไปไหนต้องไปส่งเองรับเอง จึงสรุปเรื่องความชอบ หรือคุณสมบัติส่วนตัวออกมาได้ว่า

• ใจเย็น ชอบสังคม คุยสนุก เป็นที่ชื่นชอบของคู่สนทนา

• ติดลูก ชอบที่จะได้ดูแลในทุกรายละเอียดของลูก รักเด็ก

• รักสวยรักงามชอบการแต่งหน้าแต่งตัวให้ดูดีสวยงาม


2. ค้นหาธุรกิจที่อยู่ในความสนใจ

มองหาธุรกิจที่ตนเองคิดว่าน่าสนใจ ในขั้นตอนนี้อาจเขียนตัวเลือกออกมาก่อนทั้งธุรกิจที่อยู่ในกระแส และ ไม่อยู่ในกระแสแต่ตนเองสนใจ ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าเพิ่งไปกังวลว่าจะทำได้หรือไม่ได้ในตอนนี้ คิดแค่ว่าสนใจธุรกิจอะไรบ้างเป็นพอ เขียนออกมาหลายๆธุรกิจ

อย่างในกรณีตัวอย่างคุณสมหญิง อาจมีความสนใจธุรกิจต่อไปนี้

• สปา

• ร้านเสริมสวย ทำผม แต่งหน้า

• โรงเรียนอนุบาล

• ธุรกิจขายตรง


3. จับคู่ระหว่างความชอบส่วนตัว และ ธุรกิจ

ทำการลงรายละเอียดว่าในธุรกิจที่ตนเองสนใจนั้น จะใช้ความชอบ ทักษะหรือความสามารถเฉพาะตัวที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจที่สนใจแต่ละอย่างได้หรือไม่ อย่างไร

ตัวอย่าง คุณสมหญิง ทำการจับคู่ดังนี้

ลำดับ ธุรกิจ ความชอบ ความสามารถพิเศษ

ลำดับ 1: สปา ชอบความสวยความงาม

ลำดับ 2: ร้านเสริมสวย ชอบความสวยความงาม ได้พูดคุยกับคน

ลำดับ 3: โรงเรียนอนุบาล ชอบดูแลเด็ก ใจเย็นกับเด็ก

ลำดับ 4: ธุรกิจขายตรง ใจเย็น ชอบคุยกับคน อิสระไม่ต้องเฝ้าร้าน


4. ลงรายละเอียดเพื่อคัดเลือกธุรกิจที่ไม่ใช่ออกไปก่อน

ขั้นตอนนี้ก็คือการลงในรายละเอียดของแต่ละธุรกิจเพื่อคัดธุรกิจที่ “ไม่ใช่” ออกไปก่อน การลงรายละเอียด ประกอบด้วย L + 5 M + Oในทุกธุรกิจ คือ

Location: ทำเลที่ตั้ง

Money : เงินทุน

Man : บุคลากร

Machine : เครื่องจักรหรืออุปกรณ์

Material : วัตถุดิบ

Marketing : การตลาด

Others : อื่นๆ เช่น ค่าภาษีป้าย ค่าขออนุญาต ค่าเก็บขยะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ

Location: เรื่องทำเลที่ตั้ง ผมให้เป็นอันดับแรก เพราะส่วนใหญ่แล้วมักเป็นต้นทุนสูงที่สุดในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ต้องอาศัยหน้าร้านในการดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้าน ให้คิดดูว่าจะใช้ที่ไหนเป็นร้านค้า หรือสำนักงาน หากว่าเริ่มธุรกิจโดยใช้ที่บ้านได้จะดีที่สุดเพราะประหยัดเรื่องค่าเช่าได้ส่วนหนึ่ง แต่หากใช้ที่บ้านไม่ได้ เช่น อยู่คอนโด หรือ บ้านอยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะสม ก็ต้องหาเช่าที่ทำธุรกิจ หรือจะไปเช่าพื้นที่ห้าง มีค่าเช่าเท่าไหร่

หากเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยหน้าร้าน คือมีหน้าร้านเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับลูกค้าด้วยแล้ว ค่าใช้จ่ายเรื่องทำเลที่ตั้งของร้านค้าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากในธุรกิจ จนอาจเป็นตัวตัดสินได้เลยว่าธุรกิจนี้มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้หรือไม่สำหรับคุณ หากเฉพาะค่าเช่าร้าน ค่าตกแต่งก็เกิน 50%-60% ของงบลงทุน ก็ทำใจเถอะว่าไม่เหมาะตัดออกจากรายการซะ

Money: เรื่องเงินทุนนั้น ให้เปิดสมุดบัญชีทุกเล่มดู ว่าคุณมีเงินสำหรับลงทุนได้สักกี่มากน้อย โดยกันเงินสำรองสำหรับใช้จ่ายในครอบครัวไว้ก่อนให้เพียงพอสำหรับ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย เพราะโดยธรรมชาติของธุรกิจส่วนใหญ่แล้ว 6 เดือนแรกยังล้มลุกคลุกคลาน แต่ถ้าหากว่าพอกันเงินสำรองของครอบครัวไว้แล้วก็ไม่มีเหลือทำธุรกิจได้เลย แสดงว่า คุณอาจยังไม่เหมาะกับการออกจากงานประจำมาทำธุรกิจ หากอยากทำควรทำควบคู่กับงานประจำไปก่อน ต่อให้มีเงินทุนมากพอผมก็ยังแนะนำว่าทำควบคู่กับงานประจำไปก่อนดีที่สุด เพราะการเริ่มต้นธุรกิจมีความเสี่ยงสูง มีงานประจำไว้จะได้อุ่นใจ หากธุรกิจไม่เป็นไปดังหวัง

เมื่อตรวจสอบเงินทุนแล้ว หากคิดว่าไม่เพียงพอ ก็ต้องคิดต่อไปว่าจะไปหาเงินทุนเพิ่มได้จากที่ใด แต่ให้คิดในขนาดของธุรกิจที่เล็กที่สุดก่อนนะครับ ไม่ใช่คิดจะลงทุนแบบอลังการงานสร้างทั้งๆที่เงินไม่มีหรือเป็นเงินกู้ เพราะจะหมดตัวเสียก่อน ตัดธุรกิจที่กำลังเงินไม่เพียงพอที่จะทำได้อย่างแน่นอนออกไปก่อน


Man: เรื่องบุคลากร หรือ พนักงาน ควรดูว่าการเริ่มต้นธุรกิจสามารถเริ่มด้วยตัวคนเดียวหรือ ให้เฉพาะคนในครอบครัวช่วยได้หรือไม่ หากไม่ได้ ต้องจ้างคนเพิ่มกี่คน เงินเดือนเท่าไหร่ หากต้องจ่ายเงินเดือน 6-12 เดือน โดยยังไม่มีรายได้เข้ามามากพอ ธุรกิจจะอยู่ได้ไหม หากคำนวณดูแล้วว่าอยู่ไม่ได้ก็ตัดธุรกิจนั้นออกไปจากรายการ


Machine: เรื่องเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ก็ควรประเมินดูว่าจะต้องลงทุนด้านเครื่องจักร เครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ประมาณเท่าใด หากมากกว่าเงินทุนที่มีก็ตัดออกไป


Material: เรื่องวัตถุดิบ ประเมินว่าจะหาวัตถุดิบมาผลิตได้ง่ายหรือยาก ต้องสำรองเงินทุนหมุนเวียนค่าซื้อวัตถุดิบมากแค่ไหนในแต่ละเดือน


Marketing: การลงทุนด้านการตลาด ก็เป็นงบลงทุนที่ต้องกันไว้ส่วนหนึ่งครับ ผมเห็นนักธุรกิจมือใหม่หลายๆราย ลงครบทุกอย่างแต่ไม่ได้สำรองเงินทุนไว้มากเพียงพอสำหรับการทำตลาด แล้วลูกค้าที่ไหนจะรู้จัก สุดท้ายก็นั่งตบยุงไปวันๆ ไม่เกินปีก็ต้องเลิกกิจการกันไป การสำรองเงินไว้สำหรับทำกิจกรรมทางการตลาดจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่เพิ่มเริ่มต้น ยังไม่มีใครรู้จัก การทำตลาดก็ต้องใช้เงินทุนสูงไปด้วย เมื่อลูกค้ารู้จักดีแล้วงบการตลาดจึงจะค่อยๆลดลง

ในกรณีตัวอย่างคุณสมหญิง เมื่อกันเงินสำรอง 6 เดือนแล้ว สมมติว่ามีเงินเก็บพร้อมลงทุนอยู่ประมาณ 2 ล้านบาท

พิจารณาดูแล้วว่าการเปิดโรงเรียนอนุบาลคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเฉพาะแค่ค่าอาคารกับอุปกรณ์ก็เกิน 2 ล้านเข้าไปแล้ว อีกทั้งชอบดูแลลูกตนเองแต่ไม่ใช่ลูกของคนอื่นทุกๆคน จึงตัดทางเลือกนี้ออกไปก่อนได้เลย

คุณสมหญิง ได้คิดต่อมาเรื่องการเปิดสปา คิดดูแล้วมีบ้านเดี่ยวติดถนนใหญ่แห่งหนึ่ง เจ้าของให้เช่าในราคาเดือนละ 2 หมื่นบาท จ่ายค่าประกันการชำรุด 3 เดือน รวม 4 เดือน คือ 80,000 บาท ในครั้งแรก

สำรองค่าเช่าไว้ล่วงหน้าอีก 3 เดือนหลังจากเริ่มกิจการ คือ 60,000 บาท ค่าตกแต่งคาดว่าประมาณ 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 640,000 บาท

เรื่องบุคลากรต้องใช้คนอย่างน้อย 3 คน ตนเองเป็นผู้จัดการ มีพนักงานนวดสปา 2 คน โดยสลับกันเป็นพนักงานต้อนรับไปด้วยในตัว

เงินเดือนคนละ 8,000 บาท x 3 คน = 24,000 บาท

สำรองเงินเดือน 6 เดือน = 144,000 บาท

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ คาดว่าจะมีเตียงนวด 3 เตียง เครื่องพ่นไอน้ำ 3 ตัว และอุปกรณ์อื่นๆ รวมแล้วประมาณ 50,000 บาท

วัตถุดิบ คือ ครีมนวดตัว สบู่ ลูกประคบ และอื่นๆ รวมแล้วประมาณ 20,000 บาท ในการเริ่มต้น

เมื่อรวมเงินทั้งหมดแล้ว คาดว่าเบื้องต้นต้องใช้เงิน ดังนี้

บุคลากร = 144,000 บาท

อุปกรณ์ = 50,000 บาท

วัตถุดิบ = 20,000 บาท

ค่าเช่าเดือนแรกและค่าตกแต่ง= 640,000 บาท

ค่าการตลาด = 100,000 บาท

อื่นๆ = 100,000 บาท

รวมเงิน 1,054,000 บาท

ในเมื่อคุณสมหญิงมีเงินสำรองสำหรับลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท คิดเป็นเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านบาท อย่างนี้การเปิดสปานั้นพอมีทางเป็นไปได้ จึงเก็บทางเลือกนี้ไว้ก่อน

คุณสมหญิงก็คิดต่อเรื่อง ร้านเสริมสวย ซึ่งตนเองสามารถทำได้เองโดยอาจไปเรียนเพิ่มเติมในหลักสูตรระยะสั้น แล้วจ้างพนักงานมาช่วยงาน 1 คน ค่าใช้จ่ายอื่นๆรวมแล้วก็ถูกว่าการเปิดสปา จึงเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้อีกทางเลือกหนึ่ง

คิดเรื่องสุดท้ายคือ ธุรกิจขายตรง ซึ่งไม่ต้องใช้ทำเล เริ่มจากตัวคนเดียวไม่ต้องมีลูกจ้าง เครื่องมือก็ไม่มาก สินค้าหรือวัตถุดิบสามารถเริ่มจากสินค้าที่ซื้อใช้เอง การตลาดก็ใช้วิธีปากต่อปากเป็นส่วนใหญ่ ค่าใช้จ่ายอื่นๆก็มีแต่ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง ค่าบัตรเข้างานประชุม แล้วก็ยังไม่ต้องนั่งเฝ้าร้าน หรือ สามารถทำควบคู่กับงานหลักได้ ว่าแล้วคุณสมหญิงก็บรรจุทางเลือกที่จะทำธุรกิจขายตรงไว้ในแผนด้วย

5. สำรวจตลาด กลั่นกรอง และคัดเลือก

เมื่อเลือกพิจารณาแล้วก็เห็นว่าน่าจะเหลือธุรกิจที่เป็นไปได้จากการพิจารณาปัจจัยต่างๆแล้ว ก็มาถึงการกลั่นกรองขั้นสุดท้าย คือ สำรวจตลาดหรือวิจัยว่า ธุรกิจที่ตนเองเลือกไว้ไม่กี่รายการนั้น มีตัวใดที่มีตลาดรองรับอยู่อย่างแน่นอนที่สุด

ไม่ควรทำธุรกิจที่สำรวจตลาดแล้วไม่มีตลาดรองรับที่มากเพียงพอ ถึงแม้ว่าจะชอบเป็นพิเศษก็ตาม เพราะ หากคุณชอบ แต่ไม่มีลูกค้าที่ชอบซื้อของคุณ คุณก็ไปไม่รอดในธุรกิจอยู่ดี เอาที่คุณชอบรองๆลงมา แต่มีลูกค้าแน่ๆดีกว่า

อย่าคิดว่าจะทำแต่เฉพาะธุรกิจที่ตนเองชอบที่สุดเท่านั้น เพราะในความเป็นธุรกิจนั้นมันมีความแตกต่างจากการทำงานอดิเรกมากมายนัก งานอดิเรกทำเล่นๆพอรู้สึกเหนื่อยก็หยุด อยากทำก็ทำ อยากพักก็พัก การลงทุนก็น้อย กำหนดเส้นตายสำหรับส่งของก็ไม่มี

แต่การที่จะทำธุรกิจนั้นไม่ว่าจะเลือกที่ชอบอย่างไรก็ตาม คุณก็จะไม่ได้ทำเฉพาะส่วนที่ชอบเท่านั้น คุณยังจะต้องทำในส่วนที่ไม่ชอบด้วย เช่น การหาเงินทุนหมุนเวียน การคอยดูแลพนักงานไม่ให้อู้งาน การหาวัตถุดิบ การออกหาตลาดหาลูกค้า การผลิตให้ทันกำหนดส่ง มิฉะนั้นจะถูกปรับ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญและชี้เป็นชี้ตายในธุรกิจได้พอๆกัน แต่อย่างน้อยคุณก็ได้พบธุรกิจที่มีส่วนที่คุณชอบ แล้วส่วนนั้นก็เป็น Major key success factor หรือ ปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจด้วย ก็ถือว่ามาถูกทางแล้วครับ

กลับมาที่ตัวอย่างของคุณสมหญิง หลังจากกลั่นกรองแล้วพบว่ามีธุรกิจที่เป็นไปได้สำหรับเธออยู่ 3 อย่าง ได้แก่ ธุรกิจสปา ร้านเสริมสวย และ ธุรกิจขายตรง เธอจึงจัดการคัดเลือกในขั้นตอนสุดท้ายว่าจะทำอะไรดี เพราะเงินทุน และ เวลาของเธอมีจำกัด เธอคงไม่สามารถเลือกทำทั้งสปา และร้านเสริมสวยได้

เธอเริ่มทำวิจัยตลาดง่ายๆด้วยการไปเที่ยวสอบถามคนที่อยู่บนถนนสายที่เธอจะเปิดร้าน และในเขตอำเภอของเธอ ว่า หากมีร้านสปา หรือ ร้านเสริมสวย มาเปิดบริเวณนี้คนเหล่านั้นจะมาใช้บริการหรือไม่ และ พร้อมที่จะจ่ายที่ราคาประมาณเท่าไหร่ หลังจากถามอยู่หลายสัปดาห์ ได้ความว่า หากเปิดร้านเสริมสวยไปใช้บริการแน่นอน มีแนวโน้มมากกว่าการมาใช้บริการสปา

เธอจึงไปค้นคว้าต่อที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งโดยดูจากการวิจัยของนักศึกษาปริญญาโทในมหาวิทยาลัย ในเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจสปา พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของธุรกิจสปานั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศไม่ใช่คนไทย อีกทั้งนักท่องเที่ยวนั้นจะมีจำนวนมากบ้างน้อยบ้าง ตามฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งในภาษาท่องเที่ยวเขาเรียกว่า High Season และ Low Season แม้ว่าในช่วง High จะมีลูกค้ามากจนอาจเต็มตลอดทั้งวัน แต่ช่วง Low นั้นก็จะมีลูกค้าน้อยมาก อีกทั้งเธอยังมีลูกเล็กอีก 2 คนต้องดูแล จะทำธุรกิจที่ยอดขายขึ้นๆลงๆมากเกินไปคงไม่เหมาะ สมหญิงจึงตัดสินใจว่าจะตัดธุรกิจสปาออกจากทางเลือกของเธอ เหลือเพียง “ธุรกิจเสริมสวย” ที่เธอคิดว่าน่าจะทำมาหากินได้กับคนไทยที่อยู่ตลอดแนวถนนที่เธอเปิดร้านและในพื้นที่อำเภอของเธอ และเธอก็มีความสุขกับการแต่งหน้าแต่งตาให้ตัวเอง และผู้อื่นอยู่แล้ว อีกทั้งยังจะเลือกเปิดร้านหลังจากส่งลูกไปโรงเรียน ตอนเย็นก็ยังสามารถแวะไปรับลูกได้

เหลืออีกหนึ่งธุรกิจ คือ “ธุรกิจขายตรง” สมหญิงถูกญาติชักชวนให้ลองศึกษาธุรกิจขายตรงรายใหญ่แห่งหนึ่งดู เนื่องจากเธอไม่ใช่คนที่ปิดกั้นตัวเองและไม่ด่วนสรุปในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ จึงยินดีไปศึกษา แล้วพบว่าบริษัทมีความเชื่อถือได้ เปิดมานาน สินค้ามีคุณภาพดี รับประกันความพอใจ ไม่พอใจสามารถเปลี่ยนหรือคืนได้ ไม่มีความเสี่ยง ธุรกิจนี้มีผู้คนทำประสบความสำเร็จมากมาย มีมูลค่าธุรกิจนับหมื่นล้านบาท แสดงว่ามีตลาดรองรับแน่นอน

แต่เธอก็ติดว่าจะต้องไปง้อคนหรือเปล่า กลัวว่าคนอื่นจะรำคาญ แล้วธุรกิจนี้อิ่มตัวหรือยัง แต่ก็คิดได้ว่าธุรกิจอื่นๆก็ต้องง้อลูกค้าทุกธุรกิจนั่นแหละ อีกทั้งธุรกิจขายตรงผู้มุ่งหวังที่มีอัธยาศัยแย่มากก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เราเลือกทำงานและบริการเฉพาะกับคนที่มีอัธยาศัยดีกับเราก็ได้ ไม่สร้างความรำคาญให้ใคร ใครสนใจก็เป็นลูกค้า ใครไม่สนใจก็ปล่อยเขาไป อีกทั้งยังมีเวลายืดหยุ่นในการทำงานแล้วแต่สะดวก จึงเหมาะกับคนที่มีงานประจำทำอยู่หรือมีธุรกิจอยู่แล้วอย่างสมหญิง

ส่วนเรื่องอิ่มตัวหรือยังพบว่าธุรกิจนี้มีคนสมัครแล้วแต่ไม่ได้จริงจังกับธุรกิจหรือเป็นเพียงลูกค้าซึ่งมีหมดอายุสมาชิกทุกวัน และมีคนที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าอีกมากมาย มองจากอัตราการเติบโตของธุรกิจก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแสดงว่าตลาดยังมีอยู่อีกมาก การเริ่มต้นก็ใช้เงินทุนไม่มากนัก ความเสี่ยงจึงต่ำ และมีคนเต็มใจสอนให้เธอ ในขณะที่ธุรกิจอื่นหาคนสอนให้นั้นยากเต็มที ทำให้สมหญิงเข้าใจมากขึ้น

เธอจึงเลือกไว้เป็นหนึ่งทางเลือกสำรองไว้ อย่างน้อยหากธุรกิจหลักที่เธอเลือกไปได้ไม่ถึงฝันก็ยังมีธุรกิจที่สองรองรับ อีกทั้งทักษะในด้านการตลาดธุรกิจขายตรง ยังสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจหลักของเธอได้

สรุปสุดท้าย คุณสมหญิง จึงตัดสินใจเปิดร้านเสริมสวย และ ทำธุรกิจขายตรงควบคู่กันไปด้วย อย่างมุ่งมั่นตั้งใจและมีความสุข เพราะได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ คือ แต่งหน้า แต่งตัวสวยๆ พบปะ พูดคุยกับผู้คน มีโอกาสได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด โดยมีพนักงานช่วยดูแลร้านในเวลาที่คุณสมหญิงไปรับส่งลูกที่โรงเรียน ธุรกิจขายตรงก็ใช้เวลาช่วงหัวค่ำ 1-2 ชั่วโมงไปพบลูกค้า เธอจัดให้วันพุธเป็นวันหยุดเพื่อที่เธอจะได้ไปฟิตเนสตอนบ่าย และตอนเย็นก็พาครอบครัวไปรับประทานอาหารนอกบ้าน

คุณสมหญิง ได้พบธุรกิจที่ทำให้เธอมีความสุข สนุกกับการทำงาน อย่างที่เธอต้องการ และธุรกิจของเธอก็เติบโตไปได้ดี

ตัวอย่างของคุณสมหญิงที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างนั้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่ผมไม่ได้บอกว่าให้คุณเลือกตามอย่างคุณสมหญิงทุกคนนะครับ ผมเพียงแต่ต้องการจะยกตัวอย่างวิธีการเลือกธุรกิจอย่างเป็นระบบและมีหลักการให้เห็นเป็นรูปธรรม


มาถึงตอนนี้ อาจมีคนสงสัยว่า แล้วถ้าใจรักแต่ไม่ชำนาญ ทำไม่เป็น จะนำมาจับคู่ได้ไหม เช่น บางคนชอบสังสรรค์ พูดคุย เรียกว่าวงสนทนาไม่เคยเงียบหากมีคุณอยู่ อีกทั้งผู้ฟังก็สนุกสนานไปกับเรื่องราวที่คุณพูด การศึกษาก็ดี จึงอยากเปิดสถาบันกวดวิชา แต่ไม่เคยพูดในที่สาธารณะกับคนจำนวนมากๆซักที

ขอแนะนำว่า อย่าคิดว่าทำไม่ได้ครับ ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด ขอเพียงแต่คุณชอบงานด้านนี้ ก็ไปเรียนไปฝึกฝนเพิ่มเติม เรียนให้รู้ทักษะที่จำเป็นทุกด้านแม้จะไม่รู้มากก่อนแต่เชื่อมั่นว่าทำได้ แล้วก็ลุย

ผู้หญิงบางคนชอบให้คนอื่นแต่งหน้าเสริมสวยให้ หรือแต่งหน้าตัวเองเก่ง ใจชอบด้านนี้ แต่ยังไม่เคยแต่งให้คนอื่น จึงไม่มั่นใจว่าจะเปิดร้านเสริมสวยได้หรือไม่ ผมก็อยากแนะนำว่า ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณแน่ใจว่าคุณมีความสุข และมีตลาดรองรับ คุณก็เพียงแต่ไปเติมเต็มทักษะที่ขาดไปให้สมบูรณ์ขึ้นแค่นั้นเอง หาหลักสูตรของโรงเรียนสอนเสริมสวย แต่งหน้า ทำผม ดีๆสักแห่ง แล้วก็ไปตั้งใจเรียนอย่างมีความสุข จบมาก็มาทำธุรกิจที่ตนเองชอบ บางเรื่องยังทำไม่เป็นก็ขยันทำฝึกฝนบ่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นเอง

จำไว้ครับ เริ่มจากสิ่งที่ตนเองรัก

แต่สำหรับบางคนเป็นไปไม่ได้เพราะต้องดูแลธุรกิจที่มีอยู่แล้วตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ หรือ เป็นผู้บริหารในธุรกิจของคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว จะเลือกจากสิ่งที่ตนชอบก็ทำไม่ได้ เพราะไม่ทีทางเลือก

ผมอยากจะแนะนำว่า “ก็ชอบสิ่งที่คุณเป็น”

หมายความว่าให้ลองมองหาดูซิว่าในธุรกิจที่คุณทำอยู่แล้วนั้น มีกิจกรรมใดบ้างในธุรกิจที่คุณชอบเป็นพิเศษจากหลายๆกิจกรรมที่มีอยู่ เช่น การขาย การตลาด การเงิน การจัดการ การผลิต คุณก็เพียงแต่ให้น้ำหนักไปยังกิจกรรมที่คุณมีความสุขมากเป็นพิเศษ แล้วทำงานส่วนนั้นให้ดีที่สุด งานส่วนอื่นๆก็หาคนที่มีความชำนาญมาดูแลแทน

ยกตัวอย่าง บริษัทไมโครซอร์ฟ คุณบิล เกตต์ เริ่มต้นธุรกิจจากสิ่งที่ตนเองชอบคือการพัฒนาซอร์ฟแวร์ ทำไปนานวัน กิจการใหญ่โต ตนเองเป็นเจ้าของก็ต้องเป็นประธานกรรมการบริหาร ต้องไปทำงานบริหารมากกว่าการนั่งเขียนโปรแกรมพัฒนาซอร์ฟแวร์ ทำแล้วรู้สึกไม่มีความสุข อยากกลับไปหาสิ่งที่ชอบคือการพัฒนาโปรแกรม จึงวางมือด้านบริหารโดยหามืออาชีพด้านการบริหารมาทำงานแทน ส่วนตัวเองกลับไปทำงานพัฒนาโปรแกรมซึ่งเป็นงานที่ตัวเองชอบ ตัวเองก็รอรับรายงานจากผู้บริหารก็พอ ตนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่แล้ว ธุรกิจก็ไม่หายไปไหน มีแต่จะโตวันโตคืน เพราะทุกคนได้ทำในส่วนงานที่ตนเองมีความสุขนั่นเอง

อีกแนวคิดหนึ่ง คือ อยากให้คุณเริ่มมองกว้างออกไปกว่าเฉพาะธุรกิจที่ตนเองชอบเท่านั้นนะครับ ธุรกิจที่คุณมองด้วยวิสัยทัศน์อันแหลมคมว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีมีอนาคตไกล แม้ไม่ชอบ ก็อย่าละเลยหรือมองข้ามครับ บางคนเคยทำแต่สิ่งที่ตนเองชอบๆแต่ไม่เคยรวยกับเขาซักที ก็ลองมาทำธุรกิจที่ตนเองอาจไม่ชอบในตอนแรกอาจทำให้คุณร่ำรวยขึ้นมาก็ได้นะครับ เพราะทำไปทำมาเกิดชอบขึ้นมาก็เห็นบ่อย เพราะตอนแรกพิจารณาเพียงผิวเผินแล้วไม่สนใน แต่ด้วยเห็นเป็นโอกาสดี พอศึกษาเจาะลึก ได้ลองทำจริงๆจังๆเกิดชอบมากจนถอนตัวไม่ขึ้นก็มี นักธุรกิจชั้นนำเขาจะพัฒนาไปถึงขั้นมองหาธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต ไม่จำเป็นต้องชอบมาก่อน แต่มีศักยภาพสูง แล้วเข้าไปเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจ โดยอาจดูแลเฉพาะส่วนงานที่ตัวเองชอบ หามืออาชีพมาทำงานแทนในแต่ละส่วนงาน แล้วตนเองก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ร่ำรวยสบายไป

ไม่ว่าคุณจะเลือกธุรกิจด้วยหลักการของความชอบเป็นหลัก หรือ ดูศักยภาพของธุรกิจเป็นหลักก็ตาม ผมยังอยากแนะนำว่า ให้เริ่มทำทีละ 1- 2 ธุรกิจพอ อย่าใจใหญ่ทำทุกอย่าง มิฉะนั้น อาจเจ๊งทุกอย่าง

คนเราส่วนใหญ่แล้ว ไม่สามารถทำทุกเรื่องในเวลาเดียวกันให้ดีได้ เนื่องจากทรัพยากรเงินทอง แรงงาน และเวลามีจำกัด จึงควรให้ความสนใจจดจ่อกับธุรกิจหลักเพียง 1 – 2 ธุรกิจก็พอ อย่าได้อยากทำทุกอย่างแล้วทำไม่ได้ดีซักอย่าง เพราะเวลาก็ถูกกระจาย พลังงานก็ถูกกระจาย สุดท้ายไม่เกิดผลดี เสียเวลา เสียพลังงานเปล่าๆ

การกระจายความเสี่ยงนั้นทำได้ครับ คือ ทำ 2 ธุรกิจควบคู่กันไป โดยทั้งสองธุรกิจควรเป็นธุรกิจที่ส่งเสริมกันได้ในตัว หรืออย่างน้อยก็ไม่เป็นธุรกิจที่ขัดกันเอง

อย่าไปนึกเปรียบเทียบกับนักธุรกิจใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือเป็นสิบเป็นร้อยบริษัท ทำตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบนะครับ เขาขยายสู่ธุรกิจอื่นๆตอนธุรกิจแรกเริ่มได้เติบใหญ่แล้ว มีเงินทุนมหาศาล มีคนเก่งในสังกัดมากมายจึงทำได้ แต่ในตอนเริ่มต้นทำธุรกิจทุกคนเริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆเพียง 1 หรือ 2 อย่างแค่นั้นเองครับ

ตัวอย่างคุณสมหญิงข้างต้นที่เลือกทำธุรกิจร้านเสริมสวย กับธุรกิจขายตรง ก็เป็นธุรกิจที่ส่งเสริมกันในตัว ร้านเสริมสวยทำให้รู้จักคนมากขึ้น ธุรกิจขายตรงบริษัทชั้นนำส่วนใหญ่ก็มีเครื่องสำอางเป็นสินค้าหลักและมีกิจกรรมแต่งหน้าเสริมสวยด้วยเพียงแต่ห้ามวางขายหน้าร้าน แต่ต้องแนะนำแบบบุคคลต่อบุคคล เวลากลางวันก็เปิดร้านเสริมสวย เวลาหัวค่ำก็ไปหาลูกค้าถึงบ้าน ได้ทั้งตั้งรับ ทั้งรุก ส่งเสริมกันเองทั้งสองธุรกิจ อีกทั้งมีสินค้าอื่นๆนอกจากเครื่องสำอางให้ทำตลาดได้กว้างขึ้นไป เป็นต้น


วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ธุรกิจหลากประเภท

ธุรกิจหลากประเภท


ธุรกิจการค้านั้นมีมากมายหลากหลายประเภท หากจะจำแนกออกตามลักษณะกว้างๆ ก็จะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ธุรกิจที่ขายสินค้าเป็นหลัก คือธุรกิจที่มีสินค้าที่มีตัวตนจับต้องได้ ซื้อแล้วสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องรอบริการพิเศษใดๆเพิ่มเติมอีก เช่น อาหาร เสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ เป็นต้น
2. ธุรกิจที่ขายสินค้าร่วมกับบริการ มักอยู่ในรูปแบบของสินค้าที่ต้องมีบริการพ่วงอยู่ด้วย เช่น รถยนต์ ที่ต้องมีศูนย์บริการ คอมพิวเตอร์หรือ เครื่องจักรที่ขายพ่วงกับการรับประกัน หรือขายบริการซ่อมบำรุงรายปีต่างหากก็ตามแต่
3. ธุรกิจที่ขายบริการเป็นหลัก จะเป็นบริการที่ไม่มีสินค้าที่ลูกค้าจับต้องหิ้วกลับบ้านไปได้เป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด อาจได้ไปแต่เพียงความประทับใจในบริการ หรือ การตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น โรงแรม โรงพยาบาล สปา นวด เป็นต้น หรือ อาจจะมีตัวสินค้าอยู่ด้วยแต่ไม่ใช่ประเด็นหลักของบริการ เช่น บริการทางการแพทย์ ผู้ใช้บริการมาหาแพทย์ รับบริการตรวจรักษา ได้รับยากลับบ้าน แต่ยาไม่ใช่ตัวหลักของบริการทางการแพทย์ เพราะผู้ใช้บริการบางรายอาจไม่ได้รับยากลับไปก็ได้ หรือ มาพักโรงแรม แล้วได้รับการเสริฟผลไม้หรือเครื่องดื่มต้อนรับที่ห้องนอน ผลไม้หรือเครื่องดื่มไม่ใช่ตัวหลักของบริการ แต่ตัวหลักของบริการคือการพักผ่อน ความนุ่มสบาย สะอาด ของที่พัก

แต่ถ้าหากจะจำแนกจากประเภทของช่องทางจัดจำหน่ายก็จะแบ่งออกได้เป็น
1. ผู้ผลิต ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าทุกประเภท เช่นโรงงานผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่ม วงจรอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
2. ผู้ค้าส่ง ได้แก่ ธุรกิจที่นำสินค้าจากผู้ผลิตไปจำหน่ายแบบจำนวนมากๆ ในลักษณะยกแพค ยกกล่อง ยกโหล ยกตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อจำหน่ายให้กับพ่อค้าปลีก หรือลูกค้ารายใหญ่ ส่วนใหญ่ผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งจะมีโกดังสินค้าของตนเอง เล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่ที่แน่ๆมักไม่ไปตั้งโกดังค้าส่งในห้างสรรพสินค้า เพราะค่าเช่าแพง
3. ผู้ค้าปลีก ได้แก่ ผู้ที่นำสินค้ามาแยกขายย่อยๆ เป็นรายชิ้นหรือขายคราวละหลายๆชิ้นก็มีบ้าง แต่ไม่ได้ขายยกกล่อง ยกโหล เป็นประจำ ส่วนใหญ่มักจะเป็นร้านค้าปลีกริมถนน ในห้างสรรพสินค้า หรือ จำหน่ายตรงโดยผู้จำหน่าย

หากจำแนกตามประเภทของสินค้า ก็คือ
1. สินค้าทั่วไป คือ สินค้าที่ผู้บริโภคทั่วไปซื้อไปใช้สอยในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อผ้า อาหาร รถยนต์ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
2. สินค้าอุตสาหกรรม คือ สินค้าที่โดยปกติจะให้เฉพาะในอุตสาหรรม หรือ ใช้เฉพาะในวงการ ไม่ใช่ใช้กันทั่วไปตามบ้านเรือน ไม่ว่าจะเพื่อเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต สารเคมีอุตสาหกรรม เครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องเอ็กซเรย์ เก้าอี้ทำฟัน เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ข้อดีของการประกอบธุรกิจ

ข้อดีของการประกอบธุรกิจ

หลายคนเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นพนักงานในบริษัทเอกชน หรือหน่วยงานต่างๆ เมื่อได้เรียนรู้ระยะหนึ่งก็ออกมาประกอบธุรกิจของตนเอง หลายคนถูกให้ออกจากงานประจำในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหางานใหม่ไม่ได้ หรือ เบื่อการเป็นลูกจ้างแล้ว ทำให้ต้องเริ่มทำธุรกิจของตนเอง
หลายคนเมื่อเรียนจบ ก็เริ่มประกอบธุรกิจเลย โดยบางคนอาจได้รับธุรกิจส่งทอดมาจากพ่อแม่ บางคนเริ่มธุรกิจใหม่ด้วยตนเอง ไม่ว่าท่านจะทำธุรกิจส่วนตัวด้วยสาเหตุใดก็ตาม ผมอยากสนับสนุน และ เชื่อว่ารัฐบาลของทุกประเทศก็สนับสนุนการประกอบธุรกิจของประชาชนของตน เนื่องการการประกอบธุรกิจนั้น มีประโยชน์ในหลายๆเรื่อง ได้แก่

1. ได้เป็นเจ้านายตนเอง
การเป็นเจ้าของธุรกิจใดๆก็ตามคุณก็จะได้รับอิสระจากการขึ้นอยู่กับเจ้านาย เพราะคุณคือเจ้านายของตนเองและของคนในองค์กรของคุณ ธุรกิจของคุณจะไปได้ไกลเพียงใด ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองเป็นส่วนใหญ่ เรื่องนี้เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี มันจะเป็นเรื่องดี หากคุณเข้มงวดกับตนเอง มีระเบียบวินัย ขยัน อดทน ฉลาดใฝ่รู้ พัฒนาตนเอง ก็จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณประกอบธุรกิจด้วยนิสัยขี้เกียจ ไม่มีระเบียบวินัย ไม่เรียนรู้ ไม่พัฒนาตนเอง เพราะไม่มีเจ้านายมาบังคับ และท่านบังคับตนเองไม่ได้ ก็จะเป็นเหตุให้ธุรกิจของคุณไม่เติบโต หรือ จบสิ้นไปได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับ “ตัวคุณเอง”

2. ได้เป็นเจ้านายคนอื่น
ตลอดเวลาที่เป็นพนักงาน ท่านอาจเป็นลูกน้องของคนอื่น บางคนไม่เคยมีลูกน้องของตนเอง หรือ มีน้อยมาก เมื่อคุณประกอบธุรกิจของตนเอง คุณอาจจะต้องมีผู้ช่วย มีพนักงาน มีลูกน้อง ตามขนาดของธุรกิจที่เติบโตขึ้นไป เรื่องของ “ภาวะผู้นำ” จะมีความสำคัญมากในตอนนี้ ทีนี้คุณจะได้มีโอกาสเข้าในหัวอกเจ้านายบ้างแล้ว

3. ได้สร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้อื่น
การทำธุรกิจ คุณต้องมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สถาบันการเงิน ผู้ส่งวัตถุดิบ ผู้รับช่วงงานไปทำ พนักงานของคุณ ผู้รับสินค้าไปขาย พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก บุคคลเหล่านี้ก็จะต้องมีกิจกรรมทางธุรกิจเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เป็นการสร้างงานให้ขับเคลื่อนไปตามกลไกของธุรกิจ สร้างเงินหมุนเวียนให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง ลดปัญหาการว่างงาน

4. สร้างรายได้ให้ตนเอง
หากคุณทำธุรกิจ กิจกรรมขายสินค้าหรือบริการออกไปก็มีรายได้เป็นตัวเงินตอบแทนเข้ามาตามกลไกของธุรกิจ คุณก็จะมีรายได้ แบบเจ้าของกิจการ ไม่ใช่ลูกจ้างอีกต้องไป ข้อดีคือ รายได้นี้อาจมากมายเสียจนทำให้คุณร่ำรวยได้ หากธุรกิจของคุณไปได้ดี แต่ในทางตรงกันข้าม รายได้อาจน้อยจนขาดทุน หากธุรกิจของคุณไปได้ไม่ดี

5. ทำให้เศรษฐกิจของชาติหมุนเวียนเคลื่อนไหว
การที่ธุรกิจมีการผลิตสินค้า บริการ มีการซื้อวัตถุดิบ ซื้อเครื่องจักร จ้างพนักงาน เช่าหน้าร้าน ขายสินค้าหรือบริการ ฯลฯ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุน เกิดการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ คนมีงานทำ รัฐเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรายได้ มีเงินไปลงทุนในโครงการต่างๆของรัฐพัฒนาสารธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ

เห็นไหมครับว่าการที่คุณประกอบธุรกิจอะไรสักอย่างที่ดี จะเป็นการสร้างประโยชน์มากมายแก่ทั้งตนเอง ผู้อื่น และประเทศชาติ ผมจึงสนับสนุนให้ผู้ที่คิดจะประกอบธุรกิจให้ทำเถิด แต่ขอให้ทำให้ดี ทำอย่างผู้มีความรู้ ขยันขันแข็ง อดทน มีระเบียบวินัย