วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผลตอบรับจากการฝึกอบรมเรื่อง การสร้างแรงจูงใจเพื่อความสำเร็จในงานขาย

การสร้างแรงจูงใจเพื่อความสำเร็จในงานขาย
(Motivation for Sales)

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2555

วิทยากร โดย มงคล ตันติสุขุมาล
จัดโดย Pacific Sales Management Center 
ติดต่อ โทร 0817168711
email: mingbiz@gmail.com

ผลตอบรับจากผู้เข้าอบรมรุ่นก่อน




วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ข้อแนะนำในการเตรียมตัวเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ ก่อนเปิดเสรี AEC


ข้อแนะนำในการเตรียมตัวเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ ก่อนเปิดเสรี AEC

ผู้เขียน : มงคล ตันติสุขุมาล

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 เป็นต้นมา ต้นทุนค่าบุคลากร เพิ่มสูงขึ้น หลายองค์กรทั้งรัฐ รัฐวิสาหกิจ และ เอกชน ได้ปรับอัตราเงินเดือนขั้นต่ำสำหรับผู้ที่จบต่ำกว่าปริญญาตรี เป็น 9000 บาทต่อเดือน และ ปริญญาตรีเป็น 15000 บาทต่อเดือน เมื่อรวมกับค่าน้ำมันที่สูงในปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก หนำซ้ำ ผู้ประกอบการหลายรายที่ยังมีกิจการดีก็ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ทำให้ไม่สามารถขยายงาน หรือรับงานเพิ่มได้ โตไม่ได้แถมทำให้ต้องสูญเสียโอกาสทางธุรกิจเนื่องจากต้องปฏิเสธงานลูกค้าไปหลายรายน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

หากใครที่กำลังประสบปัญหาทางธุรกิจอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ผมขอแนะนำแนวทางแก้ไขบางประการ เนื่องจากนับแต่นี้เป็นต้นไปการแข่งขันเรื่องต้นทุนต่ำ ค่าจ้างถูก คงทำไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเทียบกับประเทศจีน พม่า เวียดนาม ที่ต้นทุนธุรกิจและค่าจ้างต่ำกว่า เราคงสู้ไม่ได้ เราควรทำแบบผู้ประกอบการบางรายที่ไม่แข่งเรื่องต้นทุน แถมยังให้เงินเดือนสูงกว่าท้องตลาดทั่วไป เพื่อดึงดูดคนเก่งคนดีให้มาทำงานกับตนเอง อีกทั้งคนเก่าก็ไม่ไปไหน เพราะได้เงินเดือนดีสวัสดิการดีกว่าที่อื่นๆ แต่ธุรกิจยังแข่งขันได้ โดยเขาหันไปควบคุมต้นทุนด้านอื่นๆ แทน เช่น ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำธุรกิจ ให้การตลาดออนไลน์ ใช้โซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้ง เพื่อส่งเสริมการตลาด เพื่อลดต้นทุนการโฆษณาในสื่ออื่นๆที่ต้องใช้เงินมากกว่า เป็นต้น

แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ ต้องแข่งขันที่การสร้างความแตกต่าง (Differentiate) ซึ่งมีแนวทางทำได้หลายประการ คือ

-          แตกต่างด้วยคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ และ บริการ หมายถึงผลิต หรือ จัดหา สินค้าที่มีคุณสมบัติดีแตกต่างจากทั่วๆไปในท้องตลาด เช่น ดีกว่า ทนกว่า ให้ประโยชน์ได้หลากหลายกว่า เป็นต้น ความแตกต่างด้านบริการ เช่น หากคู่แข่งไม่มีบริการส่งถึงบ้าน แต่ท่านมี หรือ คู่แข่งไม่รับประกันสินค้า แต่ท่านรับประกัน คู่แข่งไม่มีการสั่งทางเว็บไซต์ แต่ของท่านสามารถสั่งทางเว็บไซต์และส่งทางไปรษณีย์ถึงบ้านลูกค้า เป็นต้น

-          แตกต่างด้วยการออกแบบ หมายถึง มีการออกแบบที่สวยแปลกตา หาไม่ได้ที่อื่น ทั้งตัวสินค้า และ สิ่งหุ้มห่อ (Package) ทำให้น่าจับน่าซื้อมากขึ้น ท่านอาจออกแบบเอง หรือ มีทีมออกแบบ จากนั้นนำไปว่าจ้างผู้ประกอบการอื่นทำต้นแบบ และสินค้าจำนวนน้อยมาทำตลาดดูก่อน หากไปได้ดีจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท่าน ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง อีกทั้งไม่หยุดนิ่ง มีแบบใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ เพื่อหนีคู่แข่งให้เขาตามไม่ทัน

-          แตกต่างด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ (Innovation) หมายถึง การหาสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีในตลาดมาก่อน โดยท่านอาจหาข้อมูลจากเว็บที่เกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นไอเดีย หรือ ไปในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่อไปหาผลงานวิจัยใหม่ๆที่น่าจะนำไปพัฒนาเป็นสินค้าหรือเป็นธุรกิจได้ แล้วนำไปต่อยอดเป็นสินค้าใหม่หรือธุรกิจใหม่เป็นต้น

หากท่านปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขัน ธุรกิจของท่านก็จะอยู่รอดได้ในการแข่งขันอย่างรุนแรงที่มาจากทั้งภายในและต่างประเทศ อย่าติดสบายอยู่กับความสำเร็จเดิมๆโดยไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อคู่แข่งเข้ามาถึงท้องถิ่นของท่าน ท่านอาจตั้งตัวไม่ทันก็เป็นได้ แต่ถ้าท่านเริ่มคิด วางแผน ดำเนินการ ทดลอง เปลี่ยนแปลง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้กินเวลาพอสมควร แต่เมื่อคู่แข่งรายสำคัญมาถึงท้องถิ่นของท่าน ท่านก็ก้าวไปไกลกว่าเดิม และพร้อมรับการแข่งขันแล้ว 

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผลการประเมินโดยผู้เข้าอบรม Motivation for Sales

ผลการประเมินโดยผู้เข้าอบรม เรื่อง

Motivation for Sales 

จัดโดย Pacific Sales Management Center
27 กันยายน 2555












วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สรุปผลการประเมินเรื่อง การเจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์ (Winning Negotiation Strategies) โดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ

สรุปผลการประเมินจากผู้เข้ารับการฝึกอบรม เรื่อง

การเจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์ 
(Winning Negotiation Strategies)

จัดโดย สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
เมื่อ วันที่ 24 กรกฎาคม 2555




วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

การพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการพูดต่อหน้าชุมชน


ผู้เขียน : มงคล ตันติสุขุมาล

                ในสังคมไทย หลายคนมีบุคลิกขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูด ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าผู้อื่น ทำให้ไม่เคยได้มีโอกาสฝึกหัด ส่งผลต่อมาในอาชีพการงาน เมื่อมีโอกาสสัมภาษณ์งานก็ไม่กล้าพูด อธิบายไม่เป็น แม้แต่เรื่องประวัติของตนเอง ทำให้พลาดงานดีๆไป เมื่อได้งานจากบางแห่งทำ ก็ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก อธิบายไม่เป็น ส่งผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงานอีก
                บางคนเป็นคนที่ทำงานภาคปฏิบัติเก่งมาก แต่ไม่มีความสามารถในการอธิบายความให้คนอื่นเข้าใจ ทำให้เจ้านายไม่ทราบ หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ทำ มองไม่เห็นผลงาน เพราะฟังการนำเสนองานแล้วไม่รู้เรื่อง บางคนไม่กล้านำเสนอเอง แต่ให้เพื่อนนำเสนอแทน จึงเป็นเหตุให้การงานไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
                ผมพบเจอคนแบบที่กล่าวมาข้างต้นเยอะมาก บ้างก็ตัดพ้อต่อว่าชะตาชีวิตที่ทำดีแต่ไม่มีใครเห็น ผมว่าทำดีแต่อธิบายให้เจ้านายเข้าใจงานที่ทำไม่เป็นมากกว่า บ้างก็เหน็บแนมเพื่อนร่วมงานว่าทำงานไม่เก่งแต่ประจบเจ้านายเก่งจึงเลื่อนขั้นเร็ว ผมว่าเขาอาจจะอธิบายให้เจ้านายเข้าใจเรื่องราวต่างๆในการงานได้เก่งกว่าเขาจึงก้าวหน้าได้เร็วกว่า บางคนทำธุรกิจส่วนตัวแต่หาลูกค้าไม่ค่อยได้ เพราะอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจไม่ได้ว่า เพราะอะไรจึงควรมาซื้อหรือใช้บริการของคุณแทนที่จะไปหาคู่แข่ง
                หลายคนเมื่อมีโอกาสพูดต่อหน้าชุมชนเพื่อแสดงความสามารถ เพื่ออธิบายความ เพื่อนำเสนอความคิด หรือ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ กลับปรากฏอาการมือเย็น ตัวสั่น เสียงสั่น ลืมเรื่องที่เตรียมมาพูดจนหมด หรือ พูดตะกุกตะกัก ไม่เป็นเรื่องเป็นราว คนฟังฟังไม่รู้เรื่อง บางคนอาการเหมือนยืนบ่นกับตัวเองอยู่หน้าเวทีซะงั้น
                ผมจึงอยากแนะนำสำหรับผู้มีปัญหาดังกล่าวข้างต้น และอยากพัฒนาตนเองให้ เป็นผู้พูดที่มีความสามารถในการพูดหน้าที่ชุมชน ดังนี้
1.       ฝึกพูดเล่าเรื่องประวัติของตนเอง เพราะเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าทุกคนย่อมรู้ตัวเองดี น่าจะเล่าได้ดีที่สุด อีกทั้งเวลาสัมภาษณ์งานทุกที่ต้องถาม เวลาเริ่มงานหรือเข้าสังคม เพื่อนใหม่ต้องถาม การฝึกไว้ก่อนย่อมจะดีที่สุด ใหม่ๆก็เขียนเรื่องราวประวัติชีวิตคุณลงกระดาษหนึ่งหน้า A4 โดยสรุปให้ได้ภายใน 1 หน้ากระดาษ เพราะจะใช้เวลาพูดได้ประมาณ 5 นาที กำลังดี จากนั้น อ่านดูดังๆ อัดเสียงไว้ก็ได้ แล้วลองเปิดฟังเสียงตัวเองดู หลายๆครั้ง จนแน่ใจว่าจำได้ ก็ลองยืนพูดหน้ากระจกที่เห็นตัวเองเต็มตัวดู อยู่คนเดียวไม่ต้องอายใคร ซ้อมให้เต็มที่
2.       เมื่อฝึกส่วนตัวจนคล่องแล้วก็ลองเล่าให้คนในครอบครัวฟังดู เพราะคุณคุ้นเคยกันดีจะได้ไม่เขินอายจนเกินไป พูดโดยไม่ต้องอ่านโพยนะครับ เพราะเป็นการฝึกให้ประติดประต่อเรื่องราวได้เองจากความจำโดยไม่ต้องอ่าน ซึ่งจะดูเป็นธรรมชาติ แล้วให้คนในครอบครัวช่วยวิจารณ์ ชี้แนะ เพราะจะได้ไม่โกรธกัน นำไปปรับปรุงแก้ไข
3.       เมื่อเล่าเรื่องตนเองได้แล้ว ก็ไปฝึกเล่าเรื่องอื่นๆที่ตนเองสนใจ ซึ่งอาจเป็นเนื้อหาในหนังสือที่อ่านมาแล้วชอบ หรือ ภาพยนตร์ที่ดูมาแล้วชอบ ก็นำมาเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ พ่อแม่อาจลองเล่านิทานให้ลูกเล็กฟัง  เด็กโตหรือผู้ใหญ่อาจลองเล่าเรื่องการงาน หรือ หนังสนุก ให้พ่อแม่ หรือ เพื่อนๆในกลุ่มฟัง เป็นการฝึกหัด ทำบ่อยๆเดี๋ยวชินเอง
4.       ท่ายืนที่ถูกต้องคือ อย่ายืนขาถ่าง โดยเฉพาะผู้หญิง เพราะจะดูไม่สวย แต่ก็ไม่เท้าชิดแถวตรงแบบทหาร เพราะจะดูแข็งกระด้างเกินไปในการพูด ผู้หญิงยืนส้นเท้าชิดให้ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย เท้าซ้ายขยับไปด้านหลังเล็กน้อย  ผู้ชายยืนให้ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย ส้นเท้าห่างกันเล็กน้อย
5.       มือเป็นอวัยวะที่ผู้ฝึกพูดมือใหม่มักมีปัญหา เพราะรู้สึกเกะกะไปหมดไม่รู้จะไว้ตรงไหนเวลาอยู่หน้าผู้คน ผมแนะนำว่าให้ห้อยแขนส่วนบนสบายๆอย่าเกรง แล้วยกแขนส่วนล่างขึ้นให้มืออยู่ระดับสะดือ ทำท่าเหมือนถือลูกบอลที่มองไม่เห็นอยู่กลางอากาศ บริเวณหน้าท้อง เพื่อจะได้ขยับมือประกอบการพูดได้ถนัด
6.       ตามองตรงไปยังผู้ฟัง แต่ไม่จับจ้องอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่ควรมองไปกว้างๆให้ทั่ว ซ้ายที ขวาที ตรงกลางที แถวหน้าที แถวหลังที เป็นต้น ใหม่ๆอาจรู้สึกสะดูดและดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ฝึกบ่อยๆ เดี๋ยวชินเอง
7.       ในความคิดของนักพูดต่อหน้าชุมชน อย่าคิดว่าผู้ฟังจะพอใจเราไหมหนอ หรือ กังวลว่าจะพูดได้ดีไหม อย่าให้มีความคิดกังวลในด้านลบอยู่ในสมอง เพราะจะทำให้ประหม่า พูดไม่ออก ให้คิดเสียว่า เมื่อเขาให้เรามาพูด ก็ต้องฟัง เรามีหน้าที่พูดถ่ายทอดความคิด ถ่ายทอดข้อมูล ให้ดีที่สุด ผู้ฟังจะตัดสินอย่างไรเป็นเรื่องของเขา อย่ากังวลไปเกินกว่าเหตุ
8.       อย่ามองและกังวลไปมากสำหรับผู้ฟังบางคนที่ไม่สนใจฟังและมัวกระซิบกระซาบคุยกันเอง เพราะจะทำให้เราในฐานะผู้ที่กำลังยืนพูดอยู่หน้ากลุ่มเกิดความสับสนกังวล ให้เน้นมองไปยังผู้ฟังที่กำลังแสดงความสนใจตั้งใจฟัง จะทำให้มีกำลังใจมากกว่า
9.       พูดด้วยเสียงดังฟังชัด แต่ไม่ถึงกับตะโกน เพียงแต่ให้แน่ใจว่าผู้ที่ฟังอยู่หลังสุดได้ยินชัดเจนดีก็พอ หากกลุ่มใหญ่ก็ต้องใช้เครื่องขยายเสียงช่วย
10.   ใช้น้ำเสียงสูงบ้างต่ำบ้าง ตามเนื้อหาที่พูด ไม่ควรเป็นเสียงโทนเดียว เพราะจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อได้ง่าย การใช้น้ำเสียงแปรเปลี่ยนไปตามเนื้อหาและให้เป็นธรรมชาติ จะทำให้การฟังสนุก
11.    ยกไม้ยกมือประกอบการพูดบ้างตามความเหมาะสม ไม่ยืนมือแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ขยับมือและแขนไปตามเนื้อหา เช่น ใหญ่ก็ทำมือเหมือนยกของใหญ่ เล็กก็ทำมือเหมือนหยิบของเล็ก สูงก็ยกมือขึ้นสูง ต่ำก็กดมือลงต่ำ เป็นต้น แต่ผมจะยังไม่อธิบายละเอียดในส่วนนี้ เพราะเนื้อหาแต่ละเรื่องก็อาจใช้ท่าทางประกอบแตกต่างกันออกไป ต้องอยู่ในสถานการณ์ฝึกหัดพูดในเรื่องต่างๆ จึงจะได้แนะนำให้ปรับใช้ตามความเหมาะสมกับเรื่องราวที่พูด
12.   ยังมีรายละเอียดอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระตุ้นผู้ฟัง การจูงใจผู้ฟัง การสังเกตผู้ฟัง การสร้างโครงเรื่อง เป็นต้น ซึ่งเป็นศิลปะการพูดในชั้นที่สูงขึ้นไป แต่สำหรับมือใหม่ ทำให้ได้ตามที่อธิบายมาข้างต้นให้ได้ก่อน โดยหาโอกาสขึ้นพูดบ่อยๆ เช่น งานวันเกิดเพื่อน ก็ลุกขึ้นยืนกล่าวอวยพรดู งานแต่งงานหากได้รับการเชิญก็อย่าปฏิเสธให้ขึ้นไปพูดดู ไปดูหนังมาสนุกมากก็เล่าเรื่องราวให้กลุ่มเพื่อนร่วมงานฟังดูตอนพักเที่ยง ถือว่าเป็นสนามฝึกของจริง เมื่อซ้อมจนชิน ไม่สั่น ไม่เขิน ไม่ลืมเรื่องแล้ว เมื่อถึงโอกาสที่ต้องแสดงฝีมือในการพูดต่อหน้าชุมชนเรื่องการงาน อันส่งผลต่อความก้าวหน้า ก็จะทำได้อย่างเต็มที่ สุดฝีมือ เพราะซ้อมมาดีแล้วนั่นเอง แล้วอย่างนี้ตำแหน่งดีๆจะไปไหนเสีย จริงไหม

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

สรุปผลสำรวจความพึงพอใจต่อการอบรมเรื่อง เจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์

สรุปผลสำรวจความพึงพอใจต่อการอบรมเรื่อง 

เจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์ (Winning Negotiation Strategies)

จัดโดย สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ 
เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555




หมายเหตุ: รอบต่อไป จัดวันที่ 24 กรกฎาคม 2555
ติดต่อ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ โทร 026195500 ต่อ 451-455